วันพฤหัสบดีที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ล้าง Cache/Temp file จากการใช้โปรแกรม Capture NX

ปกติ ผมจะพยายามไม่เก็บไฟล์ไว้ drive C: หรือเหลือพื้นที่ไว้อย่างน้อย 5 GB ที่เหลือไว้ก็เพราะว่า จะได้ copy/write DVD ได้ครับ
แต่อยู่ ๆ พื้นที่ใน harddisk เหลือไม่ถึง 2 GB เอาละหว่า เกิดอะไรขึ้น
ทำ disk clean up ก็ไม่ได้พื่้นที่กลับมาเท่าไหร่ ลองๆ ตรวจสอบดู น่าจะเป็นจากสาเหตุอะไรได้บ้าง ดูไปดูมา
วันก่อนเราเปิด NX ได้เคลียร์ไฟล์หรือยังหว่า ???
งั้นลองเช็ดดูหน่อยดีกว่า

ใน การทำการเกี่ยวกับภาพด้วย Capture NX จะเกิดไฟล์สำหรับใช้ในการแสดงผลการทำงาน ซึ่งมักจะค้างอยู่ในเครื่อง ต้องให้เราคอยมาลบออกเป็นประจำ ไม่เช่นนั้นเนื่อที่จะหายไปเรื่อยๆ
ปกติ ไฟล์จะถูกเก็บอยู่
ใน Windows 7
C:\Users\Tai\AppData\Local\Nikon\Capture NX
ใน Windows XP
C:\Documents and Settings\user_name\Applocation Data\Nikon\Capture NX
ลบไฟล์ใน folder
Cache
ThumbnailCache
แค่นี้ก็จะได้พื้นที่ haeddisk คืนมาอีกเยอะเลย

วันอังคารที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

การถ่ายภาพย้อนแสง (Silhouette)


ไม่น่าเชื่อว่ามีภาพเป็นจำนวนมากมาย ที่ต้องเสียไปเพราะผู้ถ่ายไม่ทราบหลักการถ่ายภาพย้อนแสง(นึกว่าเป็นความสามารถเฉพาะเราคนเดียว )
เรื่องของเรื่อง คือ ก่อนถ่ายภาพทุกครั้ง ให้ดูทิศทางของแสงก่อนเสมอ ถ้าไม่จำเป็นก็ไม่ควรถ่ายภาพย้อนแสง
สถานการณ์ย้อนแสง/ภาพย้อนแสง คือ ภาพที่ถ่ายในขณะที่มีแสงด้านหลังสว่างมาก ไม่ว่าจะเป็น ถ่ายจากในอาคารโดยมาฉากหลังเป็นหน้าต่างที่เปิดรับแสง
ถ่ายภาพโดยมีพระอาทิตย์อยู่ด้านหลัง หรือมี สปอร์ตไรด์ ส่องจากด้านหลัง.. เหล่านี้คือการถ่ายภาพย้อนแสงเพราะมีแหล่งกำเหนิดแสงที่แรงมากส่องมายังวัตถุที่เราถ่ายภาพ

ภาพที่ออกมาจะไม่เห็นรายละเอียดของวัตถุด้านหลังหลังได้ภาพที่ดูแล้วมืดไปหรือสว่างไป
โดยปกติแล้วเราจะไม่ถ่ายรูปย้อนแสง...แต่ถ้าจำเป็นต้องถ่าย(ก็มุมมันบังคับ) หรืออยากจะถ่าย(การถ่ายรูปคือความสุขจากการมองโลกในมุมที่เราอยากมอง )
เทคนิคในการถ่ายภาพย้อนแสง
แสงสว่างมาจากดวงอาทิตย์
"ควรถ่ายในช่วงเช้า หรือช่วงเย็น แสงแดดเริ่มอ่อน อย่าวัดแสงกับดวงอาทิตย์ตรง ๆ ควรวัดแสงที่ท้องฟ้า เฉียง 45 องศา กับดวงอาทิตย์ และลดรูรับแสงให้แคบลง 2-4 Stop หรือถ้าเป็นเวลาเย็นมาก สามารถมองดวงอาทิตย์ด้วยตาเปล่าได้ ก็วัดแสงที่ดวงอาทิตย์ได้เลย การถ่ายภาพประเภทนี้ต้องระวังเรื่องฉากหน้าและฉากหลังด้วย เพราะจะทำให้รบกวนภาพทำให้ภาพดูรกตา " โปรเค้าบอกมา..
ทีนี้กล้องของเรามีความสามารถแค่ไหน ก็เลือกใช้ตามเหตุการณ์ที่เหมาะสมนะครับ ตอนนี้อย่าถามผมว่า "ลดรูรับแสงให้แคบลง 2-4 Stop " มันทำอย่างไร..ผมยังไม่รู้ และกล้องผมยังมีความสามารถไม่ถึงครับ

อีกวิธีหนึ่งในการแก้ไขในระดับเบื้องต้น ขอให้แก้ไขง่าย ๆ ก่อน คือ แก้ไข โดยการเปิดแฟลซ
การเปิดแฟลซนั้นบางครั้ง กลางแดดก็เคยเห็นช่างภาพบางคนเปิดแฟลซถ่ายรูป อย่าไปตลกเขานะครับ (ผมเคยสงสัยว่า เราใช้กล้อง compact ก็ถ่ายได้นี่ ตากล้องคนนั้นใช้กล้องอย่างดี ราคาแพง แต่ทำไมเค้าเปิดแฟรซ ถ่ายรูป)
ตอนนี้รู้แล้วครับ ว่าเขาทำดีและถูกต้องแล้ว เพื่อให้ได้ภาพตามความต้องการในสภาพแสงที่ไม่เป็นใจกับที่ตากล้องคนนั้นต้องการ หรือมุมของแสงไม่เหมาะสม เค้ารู้ว่าต้องแก้ด้วยวิธีไหน แล้วเค้าก็ได้กระทำแล้ว(อย่างน้อยก็ที่เราเห็นเค้าใช้แฟรซครับ)

แต่ถ้า ภาพที่คุณถ่ายย้อนแสง แต่เป็นวัตถุขนาดใหญ่และอยู่ใกล ๆ ก็ต้องคอยดู(ความรู้ระดับกลาง แล้วครับ) เพราะคุณต้องเรียนรู้"การวัดแสงเฉพาะจุด" ซึ่งยุ่งยากว่า
ตอนนี้ จำง่าย ๆ คือ ถ้าจำเป็นต้นถ่ายย้อนแสง เปิดแฟลซ ทุกครั้งนะครับ.......
ถ้าอยากรู้ถึงความแตกต่างก็ลองไม่ใช่แฟรซกับใช้แฟรซสิครับว่าภาพออกมาต่างกันแค่ไหน
อ่านเพิ่มเติม การถ่ายภาพย้อนแสง (Silhouette)

วันจันทร์ที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

อินทนนท์

อินทนนท์ยอดเขาสูงที่เป็นที่มุ่งหวังของนักท่องเที่ยวจำนวนมาก
แน่นอน..สามารถนับผมเข้าไปเป็นหนึ่งในจำนวนนั้นได้เลย

เพราะตั้งแต่หลายปีที่แล้วที่ได้ยินชื่อก็ ตั้งใจว่าจะมาเยือนสักครั้ง เมื่อประมาณ 2 ปีที่แล้วก็ตั้งใจเป็นจริงเป็นจังว่าภายในปีหน้าต้องหาโอกาสมาเยือนให้ได้
คนอื่นเค้าชอบถ่ายรูปคู่กับป้าย..รอบนี้มาเสนอแนวใหม่ ถ่ายรูปคู่กับหมุดดาวเทียว ในรูปแบบนี้...เท่ห์ดีไม่ใช่น้อย ไม่เหมือนใครด้วย
ต่อไปอาจจะเป็นเทรนในการถ่ายรูปที่อินทนนท์ก็ได้...ใครจะรู้



จุดที่เป็นแรงบันดาลใจมีอยู่สองจุด คือ เส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติอ่างกา และหมุดสูงสุด ที่ใครๆ ก็อยากมาให้ถึง
(ต้นไม้เอนต้นนี้ ดูไปคล้ายฉากในเรื่องอวตาร ฉากหนึ่งเหมือนกันนะ)









ทริปนี้เป็นทริปต่อเนื่อง คือ ต่อเนื่องจากการดูนาขั้นบันไดที่แม่แจ่ม เราจึงตระเวนเที่ยวเล่นสนุกๆ ชมโน่นชมนี่ไปเรื่อยๆ









ต้นไม้ห่มผ้า...ที่ใครๆ ก็อยากมาดูหนักหนา















และไม่พลาดกับ สูงสูดแดนสยาม

วันพุธที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ทริปแม่แจ่ม อินทนนท์ ขุนวาง ท่ามกลางความเฮฮา

เริ่มจาก...ความอยากเห็นนาขั้นบันได อยากไปเหยียบหมุดสูงสุดอินทนนท์ จนกระทั่ง ต้องหาแนวร่วม เพื่อ แบ่งปันคามสุข ความฮา ระหว่างกัน

ผม: "สวัสดีครับ "
PETER [ I . A .: "สวัสดีครับ ผมเปี่ยมนะครับ "
ผม: "เรียกผมว่าไท นะครับ "

PETER [ I . A .: "ได้ยินว่า คุณไท ชอบเดินทาง
ผมสนใจมากครับ "
ผม ตอบไปว่า : "ชอบครับ "

PETER [ I . A .: "ถ้ามีกิจกรรม อะไร แบบนี้ บอกด้วยนะครับ
ผมตอบไปว่า: ตอนนี้ที่วางแผนไว้ก็ เป็นวันปิยะครับ ผมอยากไปเดินอินทนนท์ "
PETER [ I . A .: "ถ้าไม่รังเกียจ ขอร่วมกิจกรรมด้วยคนครับ "

นั่นคือที่มาของทริปนี้

หลังจากกำหนดเป้าหมายได้ชัดเจน กำหนดวันเดินทางเสร็จสรรพ ได้เวลาจัดการหาเพื่อนร่วมทาง
ส่งเมล์ไปสอบถามเพื่อนๆ ที่ชอบเดินทางเหมือนกัน ก็ได้รับการตอบรับ ไม่เป็นไปตามเป้าหมาย
หลายคนสงสัยจะไปไม่ได้ หลายคนติดทริป... สงสัยต้องไปเองเสียแล้ว

หันไปปรึกษาสมาชิกร่วมทริปเพียงคนเดียวที่ อยากไปด้วย ว่าถ้าไม่มีใครไป เรายังจะไปกันไหม
"ไปครับ คุณไท คุณไปไหน ผมก็ไป " เจอคำตอบแบบนี้ เราก็ต้องเดินหน้า จึงตัดสินใจ โพสในบอร์ดหารเฉลีย เพื่อดูว่าจะไม่ใครสนใจบ้าง
อีกทั้งยังต้องรีบออกตัว กลัวเพื่อนๆ จะหาว่าหนีไปเที่ยวไม่ชวน
หลังจากโพสกระทู้เสร็จ อ้าว มีแต่คนมาส่ง มีแต่ความวังเวง
ทำไงดี...ได้เวลาไปเกาะช้างแล้ว งั้นไปรับน้องที่เกาะช้างดีกว่า...3 วัน กลับมา อ้าว สมาชิกลงชื่อเต็มแล้ว ดีนะรู้งี้โพสกระทู้ไว้ แล้วหนีเที่ยวดีกว่า

หลังจากรวมตัวกันได้ สมาชิก 10 ชีวิต ตามที่ตั้งเป้าไว้ เพื่อจะช่วยกันหารค่าใช้จ่าย และนั่งรถกันตามสบายๆ ไม่แออัด
นัดรวมตัวเดินทางกันที่ Big C สะพานควาย เจอเพื่อนๆ สหายออกทริปหลายคน ทักทายกันจนเหนื่อยเลย

เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยตุนเสบียงของแห้งได้....ก็ออกลุยกันแลย
แต่อ้าว... คนขับรถของเราบอกว่ามี บรรจุภัณท์ไม่น่าไว้วางใจอยู่ในรถเข็หน้ารถ ...หลังจากตรวจสอบแล้ว ปรากฏว่าเป็น แก๊ซกระป๋องและกาต้มน้ำ รวมทั้ง สารเพิ่มความอบอุ่นขอเดียร์เดียร์ทิ้งไว้
ด้วยความสัมพันธ์กันแต่เก่าก่อน เราจึงนัดแนะที่หมาย รับของกลางคืน กันที่นครสวรรค์ หลังจากนั้นก็เดินทางสู่จอมทอง

รู้สึกตัวตอนเช้า เราอยู่ที่สารพี ยังอีกไกลโขกว่าจะถึงที่หมาย แต่ต่อจากนี้จะไม่มีปั๊มแก๊ซแล้ว ก็เลยต้องแวะเติมนำมันสำหรับใช้เป็นพลังงานในการเดินทางกันก่อน

ถนนจากจอมทองไปแม่แจ่ม ตัดผ่าน ทางเข้าอช.อินทนนท์ เป็นเส้นางเล็กๆ คดเคี้ยวตลอดเส้นทาง ลัดเลาะไปตามไหล่เขา ที่สูงชัน หลังจากบรรลุถึง เราก็เห็นเมืองแม่แจ่ม และนาขั้นบันได ที่เป็นเป้าหมายของเราอยู่ ข้างหน้า...แต่ว่า...ทำใจร่มๆ ก่อน จุดแรกที่เราจะไปแวะคือ ตลาดสดเพื่อ เตรียมเสบียง ถัดจากนั้นคือร้านแม่แจ่มโพส ของพี่วี ที่เป็นแหล่งข้อมูลแน่นปึ๊กให้สำหรับใครๆ ที่อยากไปแม่แจ่ม

เมื่อเสร็จภารกิจเพื่อปากท้องและทักทายสหายอย่างที่บอกแล้ว เราก็มุ่งหน้าสู่วัดกองกานเพื่น หามุมเก็บภาพนาขั้นบันใด

และจากการแนะนำของพี่วี และกำหนดเส้นทางโดยพี่ซันที่ชำนาญทางมาก่อน...เราก็ได้พบกับจุดชมนาขั้นบันใดที่ สวยถูกใจ สมกับที่ตั้งใจไว้ไม่ผิดเลย
ระหว่างเดินทาง

วันเสาร์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2553

ไม่ว่าจะดูสิ้นหวังแค่ไหน...อย่าถอดใจเป็นอัดขาด


ผมได้เรียนรู้เรื่องนี้จากประสปการณ์จริง จึงนำมาแบ่งปันให้ท่านทั้งหลายได้ทราบก่อนอื่นก็ต้องขอเท้าความเล็กน้อยก่อน ว่าผมไม่เคยรู้สึกว่าใกล้ความตายเท่าครั้งนี้เลย

ดำน้ำ กิจกรรมชมความงามที่มีความเสี่ยง..

เรื่องราวมันเกิดเขึ้นเมื่อผมไปดำน้ำที่พัทยา เป็นทริปแรกในการดำเรือจมของผมเลยก็ว่าได้

ด้วย ความมือใหม่จึงยังใช้ฟินไม่คล่อง...ความคุมการจม-ลอย (Buoyancy Control)ที่ยังไม่ได้เรื่องกับเรื่องกายหายใจที่ยัง ใช้อากาศเปลืองมากด้วย

ครั้งแรกกับการลงความลึกถึง 31 เมตร ท่ามกลางกระแสน้ำเชี่ยวและความตื่นเต้นในการดำเรือจมทริปแรก

ขณะที่กำลังเพลินกับการดำชมรอบเรือครามและพยายามฝึกผายใจ โดยมีอาจารย์คอยถ่ายรูปให้ตามมุมต่างๆนั้น

เช็คอากาศในถังแล้ว เหลืออีก 50 อาจารย์บอกว่า ยังได้อยู่....



รู้ตัวอีกที่ อากาศเป็นศูนย์ หายใจไม่ได้ หันซ้าย ไม่เห็นใคร หันขวา ไม่เห็นใคร !!!

แว้งตัวกลับมองด้านหลัง ไม่เห็นใคร !!!!คิดในใจตายแน่แล้ว...

พยายามมองด้านหน้าก็ไม่เห็นใคร แต่จำได้ว่า..อาจารย์ไปทางด้านนี้ ...

พยายามหายใจเบาๆ ตีขาแร็วๆ ด้วยความหวังจะตามตามไปทันอาจารย์หรือใครสักคนข้างหน้า...บุ๊ม บุ๊ม..

วิสัยทัศน์ใต้น้ำก็มองเห็นได้ไม่ถึง 6 เมตร ทำไงดี...นี่ต้องมาตายอยู่ใต้ทะแลแบบนี้เหรอเนี้ยะเอี๊อก...ในที่สุด อากาศก็หมดถัง

ยังไม่เห็นใคร..คิดในใน ไม่รอดแน่แล้ว แม่ครับ พ่อครับ บาปบุญที่มีคงหมดลงเพียงแค่นี้แล้ว

นึกถึงคำสอนต่างๆ ที่พ่อเคยสอนไว้ว่าอย่ายอมแพ้ ท้อได้แต่อย่าถอย..เอาวะ ตีขามันไปเรื่อยๆ ...ในคอก็หวานเลือดขึ้นมาแล้ว ....

ขณะจิตนั้นเอง ...บอกตัวเองว่า ไม่ว่าจะดูสิ้นหวัง มืดมนหมดหนทางแค่ไหน ก็อย่าถอยใจ อย่าหยุดพยายามเป็นอันขาด



ขณะ ที่สมองเริ่มมึน หูอื้อแล้วนั้นแหละเห็นอาจารย์โผล่มาจากมุมเรือไกลๆ ตีขาสุดฤทธ์รู้ว่าจะให้อาจารย์ดูเกตวัดอากาศ ก็คงไม่ทันละ ตายก่อนแน่

ผมตีขาสุดชีวิด รู้ว่า ภายในไม่เกิด 5 วินาที ถ้าไม่ได้อากาศผมไม่รอดแน่(ความรู้นึ้เกิดจากการฝึกฝนกลั้นหายใจ ตามผระสาเด็กบ้านนอก)

พอตีขามาจะถึงตัวอาจารย์ ก็กระตุกหมดแรงแล้ว..อาจารย์ก็ยังคงไปเรื่อยๆ....

ฮึดอีกที...ตีฟิน อย่างเร็ว สองรอบ มือคว้าได้ ฟินอาจารย์ ในความรู้สึกว่ากระตุกให้อาจารย์รู้ตัว

แต่ ว่าขณะนั้น เรามันแย่แล้ว ด้วยความกลัวตาย ด้วยความไม่รู้สภาพของตัวเอง ดึงอาจารย์ที่น้ำหนักต่างกันเท่าตัว ถูกกระชากถอยหลังได้เลยแรงก็ไม่มี สัญญาณมือหรือ ลืมหมดแล้ว ทำได้อย่างเดียวคือโชว์เกตวัดอากาศให้อาจารย์ดู

ภาพที่อาจารย์ค่อยๆ ปลด Octopus มาให้หายใจ...นั้นช่างเชื่องช้าจริงๆ แต่อย่างน้อยก็รู้สึกว่าตัวเองรอดแล้ว...

เมื่อ รับ Regulator (Octopus) มาได้ ผมก็สูดหายใจแบบเต็มที่ ไปสามสี่รอบเพื่อ..รับอากาศเข้าสู่ร่างกาย หลังจากนั้นก็ อ้อมตัวเอง ไปอยู่ด้านหลัง

แล้วก็จับ สายแขวน BCD ของอาจารย์แล้วก็รอยตัวให้อาจารย์ลากไป.....

อาจารย์ พามาส่งถึงเชือกทุ่นก็ฝากให็คนอื่นพาขึ้นผิวน้ำ ...ส่วนอาจารย์ก็จะกลับไปดูศิษย์(เพื่อน)อาจารย์อีกคนที่ ลงมาดำด้วยกันในไดร์นี้ก่อน



หลังจากเปลี่ยน ไปใช้อากาศจากถังของคนที่อาจารย์ฝากแล้ว ผมก็เกาะแค่สาย BCD ให้เค้าลากขึ้นไปเหมือนเดิมความรู่สึกว่าพักน้ำที่ 5 เมตร นานมาก

ในที่สุดก็ถึงผิวน้ำ และกลับขึ้นเรือได้ บ้วนน้ำลายดู...

น้ำลายปนเลือดแดงๆ ตามที่คาดไว้รู้สึกดีใจกับชีวิตที่รอดมาได้รู้สึกขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธ์ที่เป็นแรงบรรดาลใจให้ผมสู้

ขอบคุณคุณครูและขอบคุณตัวเอง ที่ไม่ถอยใจ..ไม่เช่นนั้น ผมคงไม่ได้โอกาสมานั่งถ่ายทอดความรู้สึกนี้แล้ว

วันศุกร์ที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ปลูกป่าชายเลน

มีเรื่องสนุก ๆ มาเล่าให้ฟัง หลังจากไปทำกิจกรรมปลูกป่าชายเลนร่วมกันมา
นานๆ จะมีกิจกรรมร่วมกันกับเพื่อนที่เรียนด้วยกันสักที...
หลังจากที่พูดคุยกันจนต้องโหวดว่า จะทำอะไรดี แล้วสุดท้ายก็มาลงที่ ปลูกป่าชายเลน จมโคลนเล่นกัน แล้วตบท้ายด้วยการเล่นกระดานเลน ;D อันนี้แหละที่โปรด
หลังจากกำหนดการ เรียบร้อย เราก็ได้เวลา ไปเฮฮากันได้แล้ว

สถานที่ทำกิจกรรม ถ่ายรูปรวมกันหน่อย


วันศุกร์ที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2553

หาดทรายดำความทรงจำที่แตกต่าง

ช่วงสงกราณต์ที่ผ่านมา เพื่อนๆ พากันถามว่าจะไปเล่นสงกราณต์ที่ไหน..
คำตอบคือไม่มีโปรแกรมไปเที่ยวที่ไหนครับ
แต่อยากจะไปพักผ่อนที่ระนอง...
อย่างที่บอกครับ ว่าอยากไปพักผ่อน ไม่ได้ไปเล่นสงกราณต์อะไรเลย
เพียงแค่อยากหนีลงเกาะ...ไปพักผ่อนเท่านั้นเอง
ไปถึงระนองตั้งแต่ตีห้า...เวลาดีเช้านี้เริ่มกันด้วย การอาบน้ำแร่ที่รักษะวารินกันก่อนแล้วกัน...
สายๆ....ก็ไปหาโรตีมะตะบะกับชาร้อนๆ แบบที่มีรสชาติของชาให้เพื่อนๆ ชาวกรุงได้ติดใจกันไปตามๆ กัน
หลังจากนั้นเป้าหมายของเราคือลงเกาะหาดทรายดำ ไปกางเต้นท์นอนเล่นกันสักหนึ่งคืน...พรุ่งนี้ค่อยกลับมาตะลอนเมือง
เริ่มต้นก็ต้องไปหาเรือที่"ท่าต้นสน"กันก่อน..ขออาศัยเรือชาวบ้านไปเกาะ...(ก็ต้องขอขอบคุณที่มีน้ำใจให้เราอาศัยติดเรือไปด้วยครับ)
เกาะหาดทายดำวันนี้เปลี่ยนไปจากเมื่อหลายปีมากนัก...ที่เปลียนไปคือทำเลภูมิประเทศที่ได้รับผลกระทบจาก..ซึนามิ เมื่อปี 46 นั่นเอง

มีเขื่อนกันดินทะลาย.ซึ่งช่วยให้ไม่เสียพื้นดินไปกับกระแสคลื่นที่สาดเข้าฝั่งมากนัก
แต่ความสงบร่มเย็นและความเป็นมิตรของบรรยาชาวเกาะ ยังคงอบอุ่นเหมือนเดิมครับ

คืนนี้นอนฟังเสียงคลื่น..กับยุงน้ำเค็มที่แวะเวียนมาตามแต่โอกาสลมสงบ
ตกดึกคนอื่นหลับหมดแล้ว แอบออกไปดูชีิวิตยามน้ำขึ้นของป่าชายเลนคนเดียว..สุขใจจริง..

สงสัยเพื่อนๆ จะติดใจโรตีมะตะบะเนื้อแพะกับ ชากันมากไปหน่อยเค้า..เช้านี้เรียกร้องกลับเข้าระนองแล้วจองร้านเดิม....ได้ครับผมไม่ขัดอยู่แล้ว
มื้อเที่ยง..แนะนำ ข้าวมันไก่หลังศาล..แต่ละจาน(พูนจนจะล้น)เกินอิ่มด้วยซ้ำครับ รับรองติดใจในรสชาติและปริมาณ

กิจกรรมดีๆ ที่วัดหาดส้มแป้น..กี่ปีๆ ก็มีกิจกรรมย้อนยุคให้ชม ช่างสมใจนัก

ก่อนกลับแวะทักทายลุงมนูและสวนเกษตรเชิงธรรมชาติอีกครั้้ง...หวังว่าหน้าฝนนี้จะมีโอกาสมาเยือน..

วันอาทิตย์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2553

กล้วยป่า..แหล่งน้ำยามคับขัน

แหล่งนี้ำอีกแหล่งหนึ่งที่ปลอดภัยสำหรับ การเดินป่า...
ในกรณีจำเป็นจริงๆ การดึ่มน้ำจากต้นกล้วย ถือเป็นทางรอดทางหนึ่งที่ผมเคยใช้เพื่อรักษากำลังไว้

น้ำจากต้นกล้วยที่พูดถึงคือหยวกกล้วย
บริกเวณต้นกล้วยจะประกอบด้วยกาบกล้วย ที่ล้อมกันอยุ่เป็นชั้นๆ ภายในเป็นใบอ่อนของกล้วย หรือหยวกกล้วย
วิธีการดึ่มน้ำจากต้นกล้วยก็คือการ ตัดต้นกล้วย หรือการเจาะต้นกล้วย หรือการบากต้นกล้วยเพื่อตัดท่อน้ำเลี้ยงที่ใช้ลำเลียงน้ำไปเลี้ยงดู สังเคราะห์อาหารนั่นเอง
รสชาติของน้ำที่ดึ่มจากต้นกล้วย คือฝาดๆ หรือออกรสขมนั่นเอง แต่ไม่มีอันตรายสามารถดึ่มได้ ในกรณีจำเป็น

นี่คือเทคนิคเล็กๆ น้อย ๆ ที่ผมใช้เอาตัวรอดยามต้องเดินทางในป่า

วันอังคารที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2553

ดับกระหายด้วยต้นหวานกลางป่า

ดับกระหายด้วยต้นหวานกลางป่า

ก่อนหน้านี้ผมเรียนรู้การดับกระหายยามน้ำที่เป็นเสบียงหมด ด้วยการหาแหล่งน้ำจากลำธาร ต้นกล้วยและเถาวัลย์สองท่อ แต่ไม่เคยรู้เลยว่ายังมีหวายเป็นหนึ่งในต้นไม้ที่สามารถให้น้ำดับกระหายได้เช่นเดียวกัน แถมรสชาติยังดีกว่า

การดื่มน้ำจากต้นหวาย ก็เหมือนๆ กับการดื่มน้ำจากเถาวัลย์น้ำนั่นเอง

ก่อนอื่นทำความรู้จักกับต้นหวายก่อน...ต้นหวายในป่านั้นมีอยู่หลายพันธุ์หลายขนาด ขอแนะนำหวายสำหรับที่จะหาน้ำเป็นหวายขนาดใหญ่ เนื่องจากจะมีน้ำในปริมาณที่มาก...อีกทั้งยังสังเกตุง่ายเพราะต้นใหญ่กว่า..

หลักๆ ทำความรู้จักกันก่อนว่า หวายขนาดใหญ่นั้น หลักๆ มีสองประเภทแบ่งตามเนื้อหวาย คือ หวายที่มีสีเนื้อปกติและหวายที่มีนื้อสีเข้ม เรียกว่าหวายแดง(นิยมนำมาทำด้ามมีด) หวายทั้งสองชนิด(*บางท่านว่า..หวายทุกชนิด) สามารถใช้น้ำดื่มได้

น้ำดิ่มที่ได้จากหวายมาจากไหน น้ำดื่มที่ได้จากหวายก็คือ น้ำเลี้ยงของต้นหวายนั่นเองครับ วิธีการตัดก็ตัดเป็นท่อนๆ ยาวประมาณหนึ่งช่วงแขน

*ผู้รู้บอกว่า หวายถึงเถาย์สามารถนำมาหุงข้าวได้เป็นหม้อสนามเลยนะ..ถ้าเราตัดแล้วก็รอให้มันหยดแล้วรองน้ำไว้ ....

*การกินน้ำจากหวาย หรือต้นไม้อื่น...ต่อเมื่อถึงคราวจำเป็นเมื่อเราขาดน้ำเท่านั้น

คลองมะเดื่อ ความเชื่อและศาสตร์ป่า

ชีวิตเราพบพานเรื่องราวมากมาย...ใช้ชีวิตหลากหลายรูปแบบหนึ่งในรูปแบบเวลาที่ผมใช้คือ..การใช้ชีวิตในป่า

วันนี้ “ทาซานบอย”ชวนมาเรียนรู้เรื่องวิถีธรรมชาติในชื่อทริปว่า “ลมพัดใบไม้ไหว” สอนให้เรารู้สติในทุกจังหวะชีวิต สอนให้รู้จัดสังเกตุเทือกเขา สอนให้รู้จักสังเกตุเป้าหมาย สอนให้รู้จักสังเกตุต้นไม้ สอนให้รู้จักสังด่านสัตว์ สอนให้รู้จักสังเกตุลำธาร สอนการเคารพป่า


ใจความสำคัญที่ได้มาคือ การเดินป่านั้นต้องรู้จักสังเกตุต้นไม้ รู้ว่าต้นไม้แต่ละต้นมีเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนกัน ต้องรู้จักแยกแยะให้ออกจดจำให้ได้...ซึ่งจะมีประโยชน์กับเราเมื่อตอนที่เราหลงหรือไม่แน่ใจในเส้นทาง...ความทรงจำจะช่วยเตือนเราได้ ช่วยให้เราสามารถคลำทางกลับได้
การสังเกตุ กิ่งไม้ใบไม้ ใบไม้กิ่งไม้ที่(กีดขวาง)ตามเส้นทางที่เราเดินไป อาจะจำเป็นต้องมุด ต้องลอดผ่านไป มีจุดที่พึงสังเกตุคือ...คือใบไม้บางชนิดเป็นที่อยู่ของเมลง หรือพวกหนอนบุ้งจำเป็นต้องระวังในการมุดการลอดผ่าน
ใยแมลงมุม กิ่งไม้ขวางหน้า...ปกติพรานป่าหรือนักเดินป่าเค้าจะไม่เดินตัดโดยไม่จำเป็นแต่จะใช้วิธีมุดลอดผ่านไป

ทางไหนควรไป...ทางไหนไม่ควรไป โดยปกติทางไหนที่ทึบตัน พรานเค้าจะไม่มุดหรือตัดเข้าไป แล้วจะไปทางไหนละ...ในทุกป่า..จะมีเส้นทางเดินของสัตว์หรือทางด่าน ที่เราสามารถอาศัยเดินได้ ให้สังเกตุร่องรอยของใบไม้ที่โดนเหยียบ ร่องรอยก้อนหินที่พลิกหรือหลุดจากตำแหน่งเดิม ร่องรอยของต้นไม้เล็กๆ ที่ถูกชนถูกเบียด ช่วยให้เราอาศัยสังเกตุเส้นทางได้

***ความรู้ที่ได้จากครั้งนี้...มากมายหลายเรื่อง เอาไว้มาเขียนเป็นเรื่องๆ ไปแล้วกันครับ เด๋วจะยาวเกินไป

วันจันทร์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2553

Langkawi เมืองนกยักษ์..

เคยได้ยินชื่อลังกาวีมานาน ทั้งตำนานและเรื่องเล่า...ในที่สุดเราได้ไปไปเยือน

ตำนานของเกาะลังกาวี...แผ่นดินที่ถูกสาปนานนับ 7 ชั่วคน...
จุดสนใจของเกาะลังกาวี ฟาร์มปลา ,cabel car,สีนันโลกใต้ทะเล,ตำนานอันยาวนานของเจ้าหญิงมัสซูรี หรือไหม สุรี

การเดินทางจากประเทศไทย สู่งลังกาวี
การเดินทางที่สะดวกคือเดินทางจากจังหวัดสะตูล ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง 30 นาที จากท่าเรือจ.สตูล ค่าเรือ 300 บาท

มาติดตามการเดินทางของพวกเรากันดีกว่า... ว่าต่อจากการเรียนดำน้ำที่เกาะหลีเป๊ะนั่นเลย
จากเกาะหลีเป๊ะก็มีเรือ Speed Boat สำหรับเดินทางไปเกาะลังกาวี โดยตรงเช่นกัน โดย สนนราคาอยู่ที่ เที่ยวละ 1200 บาท มีตอน

เช้า(10:00 น. )และตอนเย็น(16:00 น.) ใช้เวลาเดินทางพอๆ กับจากฝั่ง คือประมาณชั่วโมงครึ่ง
หลังจกาสอบถามราคา พิจารณาองค์ประกอบต่าง ๆ แล้ว
(ค่าเรือจาก เกาะหลีเป๊ะไปฝั่ง 500 นั่งรถจากฝั่างไปท่าเรือ นั่งเรือไปลังกาวี 300 เบตเสร็จแล้วราคาคงไม่ต่างกัน แน่เวลานั้นต่างแนา)

เราจึงตัดสินใจ ใช้บริการเรื่อเที่ยวเช้า
ไปถึงลังกาวีก็ต้องรอเอกสาร pass port ก่อนครับ (ที่ทำการ ต.ม. ที่นี่สี่แจ่มมาก ด้านข้าง เป็นท่าเรือ Speed boat และที่จอด

เรือยอจ จำนวนมาก)
เมื่อได้เอกสาร pass port เป็นที่เรียบร้อย เราก็ออกเดินทางกันต่อโดยเหมา taxi ไป cabel car ค่ารถ ที่ต่อรองได้คือ 100

RM (ค่าเงิน ณ วันนี้ 10.60 บ./1RM) taxi ที่ลังกาวี(และหลายๆ ที่ในมาเลเซียที่ไปเที่ยวมา ใช้อัตราเหมาครับ เหมือนๆ กับนั่งรถ

เมย์บ้านเรานั่นแหละ มีระยะทางและราคาเทียบอยู่(แต่ไม่มีมิเตอร์)

ถึง cable car เราก็หาอะไรทานกนก่อน...ทานเสร็จ จะกลับมาขึ้นหน่อย...:D เจ้าหน้าที่แจ้งว่า ปิดชั่วคราวครับ เนื่องจากลม

แรง(เฮ้ยนึกว่าปิด ชั่วคราวแบบยาวนานเหมือนบ้านเราซะอีก) อะไม่เป็นไร งั้นฝากกระเป๋าหน่อยได้ไหมครับ จะเดินไปเที่ยวน้ำตกกันก่อน(ตั้งแต่

เริ่มออกเที่ยวต่างประเทศ เราเริ่มมีทักษะภาษามือดีขึ้น (- -") ) พี่เจ้าหน้าทีก็ใจดีครับ รับฝาก เราเลย ออกเดินทางไปเดินชมน้ำตกกันพักใหญ่
กลับมา เย้ๆๆๆ cable car เปิดแล้ว ขึ้นกันเถอะ (ทำไมแถวยาวจังวะ) เอาซื้อตั๋วกันก่อน พอเข้าแถวก็รู้แล้ว(ทัวร์จากเมืองไทย...คง

ไม่ต้องบรรยายอะไรมาก)
เอ่อเค้าว่า ที่นี่มันเป็นที่สุด ในเรื่องอะไรสักอย่าง...ก็อะไรสักอย่างนี่แหละที่ผมนึกไม่ออก
เอาเป็นว่า ผมว่า มันน่าหวาดเสียวทีเดียวแหละ
บนยอดเขามีทางเดินชมวิวด้วย ไม่รู้เค้าเรียกกันว่าอะไรนะ แต่ว่า สวยดี มาทั้งทีก็ไปเก็บภาพกันหน่อย
บรื้อ!!! ความสูงแค่ หกร้อยกว่าเมตร แต่ลมเย็นจนหนาวเลยนะ เราเอ้ยระเหย อยู่จน พระอาทิตย์ตก ลงมาถึงข้าล่างก็มืดแล้ว...พอรับกระเป๋า





เสร็จ พี่เค้าก็แยกย้ายกลับกันเลย(แหมแกรงใจใจ กลายเป็นว่า พี่ๆ เค้าอยู่เฝ้ากระเป๋าให้พวกเรากันเหรอเนื้อ ขอบคุณมากครับ)
หลังจากนั้นก็หารถ taxi ไปตลาดกั๋วกันต่อ
ที่พักเหรอ..ยังไม่มีครับ ไปเสี่ยงหาเอาข้างหน้า...มั่นใจว่าสามารถ..
แล้วเราก็ทำได้จริง ๆ อยู่ใกล้ๆ กับ ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวด้วย คืนละ 700 บาท.นอนได้ครบสมาชิก(5 คน)
เช้าวันรุ่งขึ้นเราเริ่มกันด้วย ไปที่ท่าเรือที่จะเดินทางกลับ ตรวจสอบรายละเอียดการเดินทางกันก่อน เสร็จแล้ว ก็หา taxi เหมาไปเที่ยวกัน เป้า

หมายวันนี้ ที่แรก คือสุสาน มัสซูรี ต่อไปก็ ฟาร์มปลา แล้วก็กลับมาที่จตุรัสนกอินทรี (ดาตารัน ลัง ) จุดที่เราได้ขึ้นรถไปนั่นและ วันนี้ค่ารถเหมา

เหมือนเดิมครับ แต่เป็นรายชั่วโมง เหมารวาม 4 ชั่วโมง. 300RM ถ้าเกินก็ชั่วโมงละ100 RM
สุสานมัสซูรี เป็นสถานที่ที่จัดไว้เป็นเขตสงวนเพื่อคนรุ่นต่อไป ตั้งอยู่ที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งห่างจากเมืองกัวห์ ประมาณ 12 กิโลเมตร

สถานที่บูชาแห่งนี้

ตั้งขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่หญิงสาวคนหนึ่ง ที่อาศัยอยู่บนเกาะลังกาวีเมื่อ 200 กว่าปีก่อน เธอถูกกล่าวหาว่านอกใจสามี เลยถูกตัดสินประหารชีวิตด้วย

กริชที่ทำขึ้นเป็นพิเศษ ตามตำนานกล่าวว่า โลหิตของเธอที่ไหลออกมาเป็นสีขาวและก่อนสิ้นชีพ เธอได้สาบแช่งเกาะนี้ว่าขอให้ไม่เจริญมีแต่ความเสื่อม

โทรมนาน 7 ชั่วโคตร อย่างไรก็ตาม เวลานั้นก็ได้ผ่านมาจนครบกำหนดกับคำสาบแช่งตามตำนาน ในวันนี้เกาะลังกาวีกำลังเจริญรุ่งเรือง จากการ

พัฒนาและผู้คนที่หลั่งไหลมาเยือนเกาะลังกาวีเป็นจำนวนมากขึ้นโดยมีความเชื่อว่าใครที่มาแล้วตั้งใจอธิษฐานก็จะสำเร็จสมดั่งใจทุกคน สถานที่

ศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้เปิดให้ผู้ที่สนใจในเรื่องของตำนานความเป็นมาต่างๆ ตั้งแต่เวลา 08: 00 – 18:30 (ทุกวัน)

สถานที่ต่อไป ฟาร์มปลา
เป็นสถานที่แสดงการให้อาหารปลานานาชนิด ซื้ออยู่บริเวณ ป่าโกงกาง ตอนหนึ่งของเกาะ ผมได้ทดลงให้อาหารและลูบตัวเจ้ากระแบนตัวเป็นๆ เป็น

ความรู้สึกที่พิเศษไปอีกแบบ

ได้ดูฝูกนกเหยี่ยวแดงและนกออก โฉบจับปลา นั่นถือว่าเป็นความประทับใจของผม นอกจากนั้นก็ยังมีส่วนอื่นๆ ที่น่าสนใจอีกเพียบ

ปิดท้ายก่อนกลับกันด้วยการดูค้าคาวในถ้ำ

และอีกรั้งเรากลับมายังจตุรัสนกอินทรี (ดาตารัน ลัง ) ทันก่อนพระอาทิตย์ตก ให้ได้เก็บภาพยามเย็น กันจนเป็นที่ถูกใจ ก่อนไปหาอะไรอร่อยๆ
ทานกันที่ตลาดกัวห์ รวมถึงเดินหาของฝากจากจากร้านปลอดภาษี แหมมาถึงเมืองปลอดภาษีทั้งที ไม่ซื้ออะไรกลับไปซะหน่อยก็กระไรอยู่นะ

เช้าวันที่ 3 เก็บของเตรียมตัวเกินทางกลับ เป้าหมายจตุรัสนกอินทรี (ดาตารัน ลัง ) ขึ้นเรือกลับสตูล แล้วก็ต่อรถตู้กลับ หาดใหญ่ เพื่อจะเพิ่ม

โอกาสในการเลือกรถกลับกรุงเทพ ให้ทันทำงานวันพรุ่งนี้

ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเดินทางคร้งนี้ บันทึกไว้ในบอร์ด http://122.155.7.128/~jaikonja/board/index.php?topic=6.0

วันศุกร์ที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2553

เรียนดำน้ำ scuba ที่หลีเป๊ะ



ทริปเรียนดำน้ำที่หลีเป๊ะ...
เริ่มขึ้นจาก งานปันรักให้น้อง ซึ่ง TKT จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี...ประมาณช่วงเดือนพฤษภาคม ของทุกปี
เมือพฤษภาคม ที่ผ่านมา พี่วิลลี่ เกิดใจดี เปิดประมูล คอร์สดำน้ำขึ้นมา 1 คอร์ส หลักสูตร PADI OPEN WATER
ได้รับความสนใจ จากบรรดาเพื่อน ๆ ที่ไปร่วมงาน แจ่งกันประมูล..เสนอราคากันไป สู้ราคากันมา...
สุดท้ายหยุดที่ราคา 7500 บาท/2คน เต่ขอเพิ่มจาก 1 ใบ เป็น 3 ใบ พี่วิลลี่เกิดใจดี ยอมให้ ก็เลยได้กันมา..
คู่แรกเป็นน้อง ป.ปลา -deerdeer ซึ่งไปเรียนมาแล้วเมื่อหยุดยาวต้นเดือนธันวา....ได้ข่าวว่า...โฆษณากลุ่มหลังไว้เยอะ...

กลุ่มหลัง ประกอบด้วย 2 คู่
Sweet_lemom,Phoenix
หนูหงษ์,TUMAN47
และมีเพื่อนหนูหงษ์(พี่ต่อ) ยอมจ่ายค่าเรียน แต่ขอไปเรียนพร้อมกลุ่มนี้...ไม่รู้ว่าพี่ต่อคิดถูกหรือคิดผิดที่ไปเรียนกับชุดนี้..

แน่นอนว่า การเรียนครั้งนี้...พี่วิลลี่ปวดหัวมิใช่น้อย
การเดินทางเริ่มขึ้นจากนัดหมายกันที่สายใต้....สองทุ่ม วันศุกร์ที่ 25 ธันวาคม 2009(คนอื่นเค้าฉลองคริสมาสกันที่ลานเบียร์...เรารึนั่งเพลียอยู่บนรถทัวร์)
ผมบ้านไกลทำไงดี...เอางี้ละกัน..ลางานมันครึ่งวัน และสัปดาห์หน้าก็ลายาวเลย....
"พี่ไท..ถึงไหนแล้ว..."เสียงเจ้าหวานถามมาตอนห้าโมงกว่าๆ
"พี่ถึงรังสิตแล้ว อยู่บนรถตู้กำลังออกจากเมเจอร์"ผมตอบไป

วุ่นวายโน่นนี่ ยังดีที่ไปทันสายใต้ใหม่ตอนทุ่มหนึ่ง...หลังจากไปถึงก็ยึด KFC หาอะไรรองท้อง และรอสมาชิกที่เหลือ..เกือบๆ สองทุ่ม หนูหงษ์ก็โทรมา
บอว่าอยู่ที่ศูนย์อาหาร .."ได้เด๋วจะขึ้นไปหา" ไปถึงก็สวัสดี พี่นุ(เพื่อนหนูหงษ์อีกคนที่สำรองค่าตั๋วรถให้เราไปก่อนแล้ว)พี่ต่อ และพื่อนพี่นุอีกคน(ขออภัยจำชือไม่ได้แล้ว)
ขาดอยู่คนเดียว..ชายตู่
"อยู่ไหน.." เสียงกรอกโทรศัพท์ไปแบบเป็นกันเอง
"คิวรถตู้บางนา...ไม่มีรถตู้เลยวะ คนรอเต็ม"TUMAN47 ตอบมา...เวรละไง ใกล้เวลารถออกแล้ว..จะทันไหมวะเนี้ยะ...
ไม่น่าเชื่อ..ตู่ทำได้ ...โดยการหารคนที่รอรถ หารค่า texi กันมา...ถึงแม้จะช้ากว่ากำหนดรถออก เด็กรถคน นายท่าน จะทำท่าทีอย่างไรก็ตาม แต่ตู่ก็มาทันขึ้นรถที่สายใต้จนได้(อย่างไม่น่าเชื่อ)
เราถึงหาดใหญ่ตอนเช้า...แถมลงรถผิดที่อีก เลยต้องต่อรถสองแถวไปที่คิวรถตู้ เพื่อขึ้นรถตู้ไปลง ปากปารา
มื้อแรกของวันนี้ เราฝากท้องไว้ที่ร้านอาหารใกล้ๆ ท่าเรือ พร้อมด้วยเตรียมอุปกรณ์เสบียง จำนวนหนึ่งสำหรับประหยัดค่าใช้จ่ายบนเกาะหลีเป๊ะ..

เรือspeed Boat ที่ให้บริการ นำเราไปแวะตะรุเตา...ให้เราขึ้นไปเก็บรูป 10 นาที่ แล้วก็ต่อไปแวะที่เกาะไข่...
เกาะไข่คืออะไร...เกาะไข่คือเกาะเล็ๆ เกาะหนึ่งที่ไม่มีอะไรเลย.......นอกจาก นอกจากซุ้มประตูหิน..ที่เรียกกันว่า..."ซุ้มรักนิรันดร์"เชื่อว่า คู่รักถามเดินจับเมือกันรอดซุ้มนี้แล้วจะได้แต่งงานกัน(แต่ห้ามเดินลอดกลับนะ ต้องอ้อมไปทางอื่น)
...ผมไม่ได้ลอดหรอก..เพราะมัวแต่หามุมถ่ายรูปอยู่

ออกจากเกาะไข่ คราวนี้ตรงไปเกาะหลีเป๊ะ
จุดจอดเรือ เป็นโป๊ะสำหรับต่อเรือเล็กเข้าฝั่ง ค่าบริการเรือเล็กคนละ 50 บาท.
เป้าหมายของเราอยู่ที่ satun South Sea ซึ่งอยู่ห่างจากริมหาดเพียงแค่ 100 เมตร
คืนนี้เรามีนัดกันที่ร้าน ไปทำควมรู้จักกับอุปกรณ์ ดำ scuba กันก่อน

Masks=หน้ากาก
Snorkel =สำหรับหายใจผิดน้ำ
Fins=ตีนกบ
- Full Foot แบบที่คนทั่วไปใช้กันคือเป็นรองเท้าเลย
- Open Heel แบบที่ใช้พับรองเท้าบูท(บูทสำหรับใส่ดำน้ำ)
Regulator =ไว้หายใจรับอากาศจากถัง
BCD ชุดเติมอากาศ สำหรับใจควบคุมการลอยตัวใต้น้ำ
Gauge =ตัวบอก อากาสในถัง และความลึก
Gloves= ถุงมือ(ไม่ได้ใส่ตอนเรียนอะ)
Octopus =ไว้หายใจรับอากาศจากถัง เหมือนRegulator(หรือเรียนกว่า Regulator สำรอง คงได้ แต่ข้อมูลว่า จ่ายอากาศไม่นิ่มเหมือน Regulator ตัวหลักนะครับ)


เช้าวันแรก ลงทะเล หัดตีขากันก่อน.... เมื่อยซะไม่มีอะ
บ่าย..โดนจับลงทะเลแล้ว คราวนี้ จะรอดไหม๊
ดีนะที่วันนี้ แค่ลงน้ำตื่นๆ ริมฝั่งก่อน


วันที่สอง.....ออกทะเล

เป้าหมาย...อ่าวเรือใบ...ฝึกทุกอย่างที่เีรียนที่ริมฝั่งกันอีกรอบ....

ฝึก
วันที่สาม...ยังคงอยู่แถวอ่าวเรือใบ
วันที่สี วันสุดท้ายแล้ว..เหมือนพี่วิลลี่จะดีใจกว่าพวกเราอีก...
วันนี้..ตอนเช้าเราไปที่หน้าพรรีสอร์ท(จากเป้าหมายแรกที่จะไปคือกองหินขาว)

บ่ายมาเก็บกองหินขาว เพราะตอนเช้าคลื่นแรง