วันพฤหัสบดีที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ทริปรับลมหนาว เที่ยวม่อนแจ่ม นอนดอยอิน กินสตอเบอรี ฟ้าโปร่งดีระเบียงดาว


ทริปนั่งรถแดงแอ๋วเชียงใหม่ตามล่าหาแม่คะนิ้ง 25-29 พย 2554

เปิดทริปรับลมหนาว ด้วยการ ขึ้นสามดอยฮิต
อินทนนท์ อ่างขาง หลวงเชียงดาว
การเดินทาง กทม- เชียงใหม่ รถบัส บขส
ตระเวณเที่ยวเชียงใหม่ ด้วยการเหมารถแดง....
หลังจากถึงเชียงใหม่ เป้าหมายแรก ไปม่อนแจ่มๆๆๆๆ ไปดูสิที่เค้าว่าแหล่ม มันเป็นยังไง
24 พย 2554
21.30 ออกจากหมอชิต  รถบขส ม.4ข  ชั่นล่าง นะจ๊ะ คนละ 543  จ่ายที่นางฟ้าลุ้ย
เสาร์ 25 พย 2554
...... ถึงเชียงใหม่ นัดลุงชุ่ม ไปรับที่อาเขต  เจ้าของรถแดงมืออาชีพ (วันละ 1300  เติมน้ำมันเอง)  มีเต๊นท์และอุปกรณ์ครัวให้เราด้วย น่ารักมากไม่ต้องหอบเต๊นท์ไปนะ  เอาถุงนอน เครื่องกันหนาวไปเอง
ไปถึง แต่เช้ามืด ลุงชุมบอกว่า มีแม่คะนิ้งด้วยแหละช่วงนี้  ถ้าจาขึ้นไปดูแต่เช้าก็ทัน   ลุงบอกว่าแล้วแต่เราว่า จาไปเก็บแม่คะนิ้ง ชมอาทิตย์ขึ้นเลยก็ทัน   หรือเราจาเที่ยวข้างล่างดูอาทิตย์ขึ้นตรงไหนไปก่อนก็ด้ แล้วเที่ยวม่อนแจ่ม แม่กลางหลวง  หรืออารายก็ได้  อ้อ..ทริปนี้เรามีไกด์ท้องถิ่น เป็นหนุ่มหน้าตาดี จิตใจอาสา ด้วยน้า   แล้วแต่ไกด์จาพาไป  เที่ยวๆๆๆแล้วขึ้นไปนอนดิยอินทนนท์
อาทิตย์ 26 พย 2554
 เช้า สายๆ จิบกาแฟ ถ่ายรูปหน่ำใจ แล้วมาไปอ่างข่าง   แวะเที่ยวเรื่อยเปื่อย ตลอดทาง ร้ายของกินข้างทาง ร้านกาแฟเก๋ๆด้วย นอนอ่างข่าง ที่นอนก็แล้วแต่ วาสนาที่เราทำร่วมกันมา  คงไม่พ้นเต๊นท์นั่นแหละ
จันทร์  27 พย 2554
เช้ามาเก็บตะวันดวงเดิม  อยากไปบ้านขอบดง ไร่ สตอ อีก ใครว่าไง  เที่ยวพอแล้วก็ลงมาอ.เชียงดาว   เพื่อไปบ้านระเบียงดาว
เย็นนี้เราต้องร่ำลาเพื่อนร่วมทริป 1 สาว  เพื่อนอ้อ ต้องกลับไปดูแลคนไข้ก่อน  ส่งเพื่อน ขึ้นรถ จากอ.เชียงดาว กลับ กทม
คืน นี้ นอนนับดาวที่บ้านระเบียงดาว  ได้บ้านหลังใหญ่ มีระเบียงใหญ่นั่น  ลุงนิคม คิดค่าหัว คนละ 300 บาท รวมอาหาร 2 มื้อ เย็น  และ เช้า
อังคาร  28 พย 2554
ตื่นมา บ้า เก็บตะวันเหมือนไม่เคยเห็นดวงอาทิตย์เช่นเดิม    ขอให้โชคดีฟ้าเปิด แสงทองสาดด้วยเทิดดดดด  แห้วมาทีละ
ใคร จะลงไปเดินเก็บภาพแนวไลฟ์ ในหมู่บ้านก็ไป เตรียมขนมไปแจกเด้กด้วยนะ   ลาระเบียงดาวลงมาหาอะไรทานกลางวันใน อ.เชียงดาว   แล้ว ซิ่งกลับเชียงใหม่  จองรถกลับบ้าน   จากนั้น....    แล้วแต่เวลาอำนวย ว่าเราไปไหน ทำอะไรต่อได้บ้าง  วัด เจย์ดีสี ทองๆสวยๆ อยากไปถ่ายรุป ถ้ามีเวลานะ     ได้เวลา ก็กลับมาอาเขต
.................................................     Polla Travel   
ค่าใช้จ่ายโดยประมาณ
ค่ารถแดง 4 วัน    1300 x 4    = 5200
ค่าน้ำมันรถ 4 วัน  ประมาณ 2500 บาท
ค่าบ้านระเบียงดาว อาหาร 2 มื้อเย็น/เช้า   หัวละ 300 x  6 = 1800
รวม เบื้องต้น  9500  /6  = คนละ  1584 บาท
ก็เหลือ ค่าที่กางเต๊นท์ ดอยอิน+อ่างข่าง +ค่ากิน    นะจ๊ะ
สรุปว่า   เก็บกองกลางคนละ 2000  ก่อน  โอเคมั้ย   เหลือกินให้หมด เอ๊ย คืน  น่าจะพอไม่น่าเก็บเพิ่มนะ
ไม่รวมค่าเดินทาง กทม-เชียงใหม่ นะจ๊ะ ไปกลับก็น่าจะพันนิดๆๆ  รวมทริปนี้ 4 วัน 3 คืน ก็ 3 พันหน่อยๆ


 ----------------------------------------------------------------------------------------------------------
สรุปค่าใช้จ่ายแบบคราวๆ เพราะ บัญชีตาหวานยังวุ่นกะบ้านและสระน้ำในบ้าน
ค่าทริปนี้ 4 วัน 3 คืน  กองกลาง 2000 บาท เก็บเพิ่ม 500 บาท ( เว้น ลุ้ย ไม่ได้กลับด้วย เก็บ เพิ่ม 300 บาท)
ค่ารถทัวร์ไป-กลับ  1,000 บาท   รวมคนละ 3,500  บาท
เพื่อนร่วมระหว่างทาง
- นุ๊ก และเพื่อน   คนละ 500  บาท
- พี่เซ็ง  500  บาท
- กอล์ฟ  1,000 บาท
..................................
ค่าใช้จ่าย
ค่ารถ 1,300 บาท x4 วัน = 5,200
ค่าน้ำมัน 2,520  บาท
ค่าที่พักระเบียงดาว 6 คน  300x6 = 1800
ค่าเข้าศูนย์เกษตรอ่างขาง 400 บาท
ที่เหลือค่ารับประทาน ล้วนๆๆๆๆๆๆๆ  2 วันแรกหนักไปทางค่าอาหาร  ส่วน 2 วันสุดท้าย หมดไปกะกาแฟซะเยอะ ..อิอิ
รับประทานไรไปบ้างรายละเอียดอยู่กะน้องหวานนะจ๊ะ
***************************************************
วันสุดท้าย พี่เต้ รถแดง พาแอ๋วเชียงใหม่ จองตั๋วรถกลับ แล้วไปไหว้พระธาตุดอยสุเทพ กะ วัดสิงห์  พาไปทานข้าวต้มริมคูเมือง
แล้วส่งขึ้นรถทัวร์ 19.00 น. ถึงได้แยกทางกันไป
ตั้งใจจาให้ tip  พี่เต้ ซัก 500  แต่ไม่มีตังค์กองกลางเหลือ ใช้กันได้หมดเกลี้ยงพอดีเด๊ะ  เลยใส่เพิ่มให้ 300 รวมกะค่ารถเป็น
5,500  บาท   พี่แกใจเย็นดี ไม่มีบ่น ขึ้นเขากันทุกวัน แนะนำต่อได้  089-5573121
*******************************************
ขอบคุณ
  • เพื่อนนุ๊ก อำนวยความสะดวกเรื่องที่พักทั้งที่ อ่างขางและ ดอยอินทนนท์ 
  • อน.....  อย่างที่รู้กันนะ คริคริ
  • เพื่อนอ้อ เลี้ยงกาแฟเพื่อนๆและน้องๆที่เชียงดาว   (ไม่รู้เต็มใจป่าวแต่เสร็จโจรไปละ)
**********************************
มีเพื่อนจะเดินตามรอย  สรุปโปรแกรมทริปนี้นะ
day1
7.30 ถึงเชียงใหม่   นัดรถแดงมารอรับ ขึ้นม่อนแจ่ม- โครงการหลวงหนองหอย - ถึงดอยอินทนนท์ ค่ำ
day 2 















5.30 ตื่นไปรอดวงอาทิตย์ที่กิ่วแม่ปาน -เดินเส้นกิ่วแม่ปาน - ตียาวไปอ่างขาง ถึงค่ำๆเหมือนเดิม
day3
ตื่นสายๆ ไปเดินเที่ยวในอ่างขาง บ้านนอแร ขอบด้ง -  เชียงดาว- บ้านระเบียงดาว  เกือบค่ำ
day 4 
6.00 รอแสงสาดจากยอดเขาเชียงดาว เกือบๆ 11 โมงลงมาเชียงใหม่ - เชียงใหม่ ดอยสุเทพ วัดสิงห์
19.00 ขึ้นรถกลับ กทม

ข้อมูลทริปจากพี่หนูบิว http://www.facebook.com/note.php?note_id=298604213494896 

วันอังคารที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

10-23-2011 ตามหาหัวน้ำคลองมหาสวัสดิ์

 จริง ๆ แล้ว การร่วมภารกิจกับ กล่มนักเดินป่าอาสากู้ภัย ผมก็ร่วมทำงานกันมานานแล้วละ แต่ว่าเพียงแค่เป็นคนประสานงาน
มาวันนี้ ได้มีโอกาสเข้าไปร่วม  พูดคุยในเรื่องการทำงานและได้รับโอกาสให้ออกสำรวจ ร่วมกลับกลุ่มในการตามหาแนวที่ต้องเฝ้าระวัง(คาดว่าจะมีน้ำทะลัก หรือเกิดภัยพิบัติต่อไป)
Mission I หมายถึงการที่ผมเข้าไปร่วมงานภาคสนามกับกลุ่มเป็นครั้งแรก(คงไม่ต้องบอกนะว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกของกลุ่ม)ในการพูดคุย กำหนดพื้นที่และขั้นตอนการทำงานก่อนออกสำรวจ เราได้เลือก ฝั่งตะวันตกของเจ้าพระยา เป็นพื้นที่ทำการ ใช้สมาคมชาวปักษ์ใต้เป็นฐาน  โดนได้รับการสนับสนุน จากพี่แหม่มซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ สมาคมชาวปักษ์ใต้ เป็นคนประสานงานอนุญาตในการใช้พื้นที่








ก่อนอื่นขออธิบายถึงสาเหตุการเลือกพื้นที่ก่อน
เหตุผลที่เลือกพื้นที่ ฝั่งตะวันตก เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่มีสมาชิกหลายคน รู้จักพื้นที่ดี ไม่ว่าจะเป็น พี่ต้าร์ (เจ้าของเว็บ Trekkingthai.com) พี่แจง( ทานตะวัน nature.org/)พี่บอย (ทาซานบอย tazanture.com) และเพื่อนคนอื่นๆ ที่อยู่ในพื้นที่
นอกจากเหตุผลทางด้านกำลังพลแล้ว ยังมีเหตุผลทางด้านภูมิศาสตร์หรือเข้าใจง่ายๆ คือ พื้นที่ฝั่งตะวันตก มีความเสี่ยงที่จะเกิดน้ำท่วมได้งาน ทำไมนะเหรอ ไปเปิดดูแผนที่สิครับ แนวฝั่งตกวันตก คลองพับไปพับมา แล้วน้ำที่ทะลักมามากๆ มันจะไหลทันได้ไง  บ้านเรือนใครอยู่ใกล้ ก็เจอน้ำทะลักเข้าไปเป็นธรรมดา








หลังจากกำหนดพื้นที่แล้วก็ต้องมีการเตรียมการ
ก็ต้องเตรียมทั้งกำลังพล และกำลังข้อมูล  การออกสำรวจครั้งนี้ก็คือการออกสำรวจเก็บข้อมูลความเสี่ยงครับ
แนวการออกสำรวจของเรา ตั้งแต่ ศาลายา คลองมหาสวัสดิ์ จนถึงลำน้ำเจ้าพระยา ในฝั่งฟากตะวันตกนะครับ
การสำรวจแบ่งออกเป็นสองทีม
ทีมที่หนึ่งนำทีมโดย พี่ต้าร์ พี่ป้อ พี่บอย  สำรวจตั้งแต่แนว ถนนเส้นเพชรเกษม (ทางหลวงหมายเลข9)ตามลำคลอง ประตูน้ำ ไปจนถึงศาลายา
ทีม ที่สอง นำทีมโดยน้องโอ(ทาซานทีม) พี่แจง  หวาน วัต(หน่วยดูแลหัวใจ) โดยมีผมตามไปเก็บภาพ  สำรวจ ตั้งแต่ถนนเส้นเพชรเกษม คลองมหาสวัสดิ์ จรัญสนิทวงศ์ ถนนนครอินทร์  จนถึงริมเจ้าพระยา  (สะพานพระราม 5)














ก่อนอื่น ทำความเข้าใจกับคำว่า "หัวน้ำ" ก่อนดีกว่า
หัวนี้ คืออะไร มีลักษณะอย่างไร หลายๆ คนอาจงง
ถ้าเราเปรียบ ลำน้ำ เหมือนงู  ปกติของงูจะเลื้อยไปทางหัว แม่น้ำก็ ไหลไปออกทะเล ที่ปากแม่น้ำ
ดังนั้น หัวน้ำ คือ จุดที่น้ำได้ผ่านแนวป้องกันเข้ามาแล้ว
หัว น้ำ(ที่เราตามสำรวจ)มีลักษณะ เป็น น้ำผุด หรือไหลผ่านช่องที่อยู่ในแนวที่ขาดความมั่นคงของแนวกั้น(ซึ่งจะทำให้แนวกั้น พังในอนาคต) เอาละ เด๋วจะอธิบายใน ประกอบรูปแล้วกันครับ




เริ่มกันที่จุดคลองมหาสวัสดิ์
จะสังเกตุจากภาพอื่นๆ ได้ว่า แนวระดับน้ำได้สูงกว่าระดับปกติ จนท่วมแนวทางเดินแล้ว
เดิน ไปดูแถวแนวท่อ ซึ่งได้วางเครื่องสูบน้ำ สูบกลับเข้าคลอง ระดับน้ำในท่อ ต่ำกว่าผิวถนน แต่สังเกตุ น้ำที่ซึมออกจาก ข้างๆ ท่อ และไหลกลับลงท่อ  ความหมายว่า น้ำได้ซึมเข้าสู้พื้นดิน จนเต็มแล้วก็ไหลย้อนขึ้นด้านบน ออกตามแนวแตกของคอนกรีต (ไหลกลับลงท่อ เพราะในท่อมีการสูบน้ำ) ลักษณะอย่างนี้คือหัวน้ำ ได้มุดลอดไต้แนวกั้นและ พร้อมจะเข้าท่วมบ้านเรือนแล้ว ถ้ามีปริมาณน้ำเพิ่ม  หรือเครื่องสูบทำงานไม่ทัน ก็จะท่วมทันที
ระดับน้ำ ริมเจ้าพระยา สะพานพระราม 5
ระดับน้ำ ริมเจ้าพระยา สะพานพระราม 5


แถววัดสังฆทาน ก็น้ำกำลังเข้า

แถววัดสังฆทาน ก็น้ำกำลังเข้า

เดือดร้อนด้วย

ติดตามสถานะการณ์

คลองทหาสวัสดิ์




แนวถนน
เรียบ
รางรถไฟ ท้ายซอยจรัญ 75
ระดับน้ำริมรางรถไฟ
ระดับน้ำใต้รางรถไฟ บริเวณสะพานรางรถไฟ










 น้ำก็มุดผ่านแนวกั้นมาแล้ว ชาวบ้านช่วยกันอุด ช่วยกันกั้น แต่ คาดกว่าจะรักษาไว้ได้อีกไม่นานครับ



จากการสำรวจของทีม 2 พบว่า จุดที่มีความเสี่ยงมีสองจุด คือ จุด ซอยสวนผัก 32 ซึ่งอยู่ใต้แนวคลองมหาสวัสดิ์ เนื่องจากระดับน้ำได้ซึมผ่านแนวกั้นถาวรเข้ามาสู่ พื้นดินแล้ว
และจุดที่ 2 คือ บริเวณรางรถไฟ  ท้ายซอย จรัญฯ 75 ก็พบน้ำผุดขึ้นจากผิวถนน   สะท้านให้เห็นว่า เหลือเวลาอีกไม่นาน น้ำจะทะลักแน่นอน

วันอาทิตย์ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2554

เรื่องเปรียบเทียบระหว่างญี่ปุ่น กับไทย ยามเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติ

กลายเป็นเรื่องให้ต้องเปรียบเทียบระหว่างญี่ปุ่น กับไทย ในยามเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติ ว่าเราเป็นอย่างไร และเขาเป็นอย่างไร ผมไปเจอในFacebook มาครับ จึงหยิบเอาบางช่วงบางตอนที่เด็ดเด็ด มาฝาก ตามนี้







ญี่ปุ่น :: ลดราคาของและแจกฟรี
ไทย
 :: ของขึ้นราคาตามระดับน้ำ
ญี่ปุ่น 
:: ซื้อน้ำได้คนละขวดเท่านั้น
ไทย
 :: กักตุนอาหารใครมีตังค์ซื้อได้เท่าไหร่ซื้อไป
ญี่ปุ่น :: เข้าแถวต่อคิวรับของบริจาค
ไทย :: แย่งกันแล้วแย่งกันอีก ฉันกลัวไม่ได้
ญี่ปุ่น :: แจกน้ำคนละสองขวดแต่เอาขวดเดียวกลัวไม่พอคนอื่น
ไทย :: ฉันได้มากเท่าไหร่ยิงดี ของฟรี
ญี่ปุ่น :: ร่วมกันสร้างร่วมกันแก้ไข
ไทย :: แตกแยกไปของใครของมัน
ญี่ปุ่น 
:: ช่วยกันป้องกันก่อสร้างส่วนที่พังไป
ไทย :: ช่วยกันทำลาย ฉันท่วม เธอก็ต้องท่วม
ญี่ปุ่น :: ส่งแจ้งเตือนแผ่นดินไหวทางโทรศัพท์
ไทย
 :: น้ำมาฉันจุดพลุเตือน บ้านฉันไม่ท่วมแต่ฉันสะดุ้ง
ญี่ปุ่น :: ไม่มีของหายไม่มีทรัพย์สินโดนขโมย
ไทย :: เป็นช่วงนาทีทองของขโมยจริงๆ
ญี่ปุ่น :: แก้ไขสถานการณ์ได้ดีจากทุกฝ่าย
ไทย :: ตอนนี้มีฝ่ายไหนบ้างฉันยังไม่รู้เลย ฉันช่วยตัวเองตลอด
ญี่ปุ่น :: พร้อมใจกันตัดไฟเพื่อช่วยชาติ
ไทย
 :: อย่าตัดไฟนะเดี๋ยวฉันออนเฟสไม่ได้ 
ญี่ปุ่น :: บริจาคร้อยล้านไม่ต้องออกข่าว
ไทย :: บริจาคหมื่นเดียวก็ออกข่าวเจ็ดวันเจ็ดคืน
ญี่ปุ่น :: เสียสละตัวเองเพื่อส่วนรวมไปซ่อมโรงไฟฟ้าจนตาย
ไทย :: ฉันกลัวจระเข้ไม่กล้าลงน้ำ(จะบ้าตาย)
ญี่ปุ่น :: หน่วยกู้ภัยเข้าช่วยเหลือทั้งวันทั้งคืน
ไทย :: บ้านอยู่ลึกน้ำลึกเข้าไปไม่ได้ รอพรุ่งนี้เช้านะ
ญี่ปุ่น :: แก้ไขปัจจุบันให้ดีที่สุด
ไทย :: เตรียมพร้อมรับมืออนาคตเท่านั้น(แนวคิดเก๋ๆ)
ญี่ปุ่น :: สั่งอพยพคนได้อย่างรวดเร็ว
ไทย :: ประกาศออกโทรโข่งแล้วแต่ไม่ได้ยิน โทรโข่งถ่านอ่อน



ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่เกิดภัยพิบัติบ่อยมาก พื้นที่เป็นเกาะ มีภัยธรรมชาติ จากลมพายุ แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิดอยู่บ่อยๆ พื้นที่ก็น้อย อาหารการกินไม่สะดวกสบายเหมือนบ้านเรา แต่เนื่องจากประชาชนในประเทศของเขามีประสิทธิภาพ ขยันขันแข็ง มีวินัย ใฝ่หาความก้าวหน้า และมีหลักในการปกครองประเทศที่ดี พลเมืองมีความสามัคคี มีความรักชาติ จึงส่งผลให้ประเทศญี่ปุ่นพัฒนา และเจริญรุ่งเรือง กลายเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของโลกก็ว่าได้ 
ส่วนพี่ไทย ประเทศมีสภาพภูมิศาสตร์ดีเยี่ยม ไม่มีภัยธรรมชาติที่ รุ่นแรง หากเปรียบน้ำท่วมใหญ่ครั้งนี้ กับแผ่นดินไหว และสึนามิที่ญี่ปุ่น เขายิ่งกว่าเราหลายเท่า อาหารการกินอุดมสมบูรณ์ ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว แต่ที่ยังขาดอยู่คือ พี่ไทยยังขาดวินัย ยังมีความมานะพากเพียรไม่พอ ถึงแม้ประเทศไทยจะได้ชื่อว่าเป็นเมืองพุทธ มีธรรมะเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ แต่เรายังเห็นแก่ความสะดวกสบายของตน เรานำธรรมะของพระพุทธเจ้ามาประพฤติปฏิบัติเพียงบางส่วน เช่น มีน้ำใจ มีเมตตา แต่ขาดความมานะ พากเพียร และวินัย ทำให้แม้ประเทศไทยจะน่าอยู่กว่าหลายๆ ประเทศ แต่ก็ยังล้าหลังกว่าประเทศอื่นๆ 
เชื่อว่าหลังผ่านวิกฤติน้ำท่วมใหญ่ครั้งนี้ไป นี่คงเป็นบทเรียนสำคัญที่ เราได้เรียนรู้พร้อมๆกันทั้งประเทศ ว่าเราควรทำอย่างไรเมื่อเกิดภัยพิบัติ เรียนรู้จักที่จะเพิ่งตนเอง มากว่ารอความช่วยเหลือจากผู้อื่น เรียนรู้จักการเป็นจิตอาสา ช่วยเหลือผู้ประสบภัย เรียนรู้การบางปัน และที่สำคัญที่สุดคือเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับธรรมชาติ ไม่ใช่เอาชนะธรรมชาติ ...

ที่มาบทความจาก FW mail

วันพฤหัสบดีที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2554

กาลักน้ำ...ความรู้พื้น สู่แนวทางการแก้ปัญหา วิกฤติน้ำ ปี 54

กาลักน้ำ..คำนี้อาจจะไม่คุ้น หรือนึกไม่ออกสำหรับ หลายๆ คน แต่ถ้าได้เห็นภาพ หลายคนคงร้องอ๋อเพราะก็เห็นเป็นปกติ อยู่แล้ว ในชีวิตประจำวัน และมันก็เป็นอะไรที่สามารถทำได้จริง
ดูหลักการณ์ทำงานกันดีกว่า
 จาก http://th.wikipedia.org/
กาลักน้ำ (อังกฤษ: siphon หรือ syphon) เป็นกระบวนการถ่ายเทของเหลว จากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง โดยอาศัยหลักการของแรงดันน้ำมาช่วย ในการทำกาลักน้ำ จะต้องมีหลอด หรือท่อสำหรับการถ่ายเทของเหลวนั้นๆ โดยที่ของเหลวที่จะถ่ายออก จะต้องมีระดับความสูงมากกว่าระดับของเหลวในภาชนะที่รองรับ

 ประวัติ

คาดว่าผู้ค้นพบหลักการกาลักน้ำเป็นคนแรก คือ "คเทซิบิอัส" (Ctesibius) [1] "เฮโรแห่งอะเล็กซานเดรีย" (Hero of Alexandria) ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของเขาได้เขียนเรื่องนี้เอาไว้อย่างละเอียด ในหนังสือชื่อว่า "พนิวมาติคา" (Pneumatica) [2] แต่ภาพสลักบนผนังศิลาของอียิปต์เมื่อ ราว 1500 ปีก่อนคริสตกาล ก็ยังปรากฏภาพการใช้หลักการกาลักน้ำเพื่อดึงของเหลวจากไหขนาดใหญ่ [3]
มีประวัติเล่าว่ากองทัพเรือไบแซนไทน์เคยใช้หลักกาลักน้ำเป็นอาวุธ และวิธีการที่นิยมโดยทั่วไป ก็คือ ใช้เพื่อพ่น "ไฟกรีก" (Greek fire) อันเป็นสูตรน้ำมันเผาไหม้ ให้พุ่งผ่านท่อทองเหลืองขนาดใหญ่ ไปตกบนเรือของข้าศึก โดยมีการเก็บของเหลวไว้ในถังร้อนอัดที่ถูกอัด และพ้นผ่านท่อดังกล่าวโดยมีอุปกรณ์บางอย่างช่วยสูบ ส่วนผู้ควบคุมเครื่องนั้นจะซ่อนหลังโล่โลหะขนาดใหญ่ แต่ไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัด ว่าเป็นการใช้หลักกาลักน้ำจริงๆ หรือใช้อุปกรณ์สูบน้ำ ที่ใช้แรงดันอากาศเพื่อพ่นไฟดังกล่าวออกมา


ตัวอย่างการนำไปใช้ http://www.proton.rmutphysics.com/science-news/index.php?option=com_content&task=view&id=1446&Itemid=4




http://www.ninekaow.com/wbs/?action=view&sub=04&id=0000943










วันจันทร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2554

เฟินกระแตไต่ไม้

กระแตไต่ไม้ เป็นเฟิน ที่พบกระจายพันธ์ในป่าทั่วทุกภาคของประเทศไทย จัดเป็นเฟินอิงอาศัย เกาะตามต้นไม้ และโขดหิน เหง้ามีขนสีน้ำตาลปกคลุม ใบมี 2 แบบ แบบแรกลักษณะเหมือนใบโอ็คห่อหุ้มเหง้า ไม่มีก้านใบ และไม่สร้างสปอร์  เป็นรูปไข่ ไม่มีก้านใบ กว้างประมาณ 20 ซม. ยาวได้ถึง 32 ซม. ขอบใบเว้าเป็นแฉกตื้น ๆ
 แบบที่สองใบแฉก มีหลายแฉก กว้างประมาณ 50 ซม. ยาวได้ถึง 80 ซม. ขอบใบเว้าลึก เนื้อใบเหนียว สีเขียวหม่น เป็นมัน ก้านใบยาว กลุ่มอับสปอร์กลมหรือรูปขอบขนานเรียงเป็นสองแถวอยู่ระหว่างเส้นใบหลัก

สามารถปลูกเลี้ยงได้ง่าย อาจปลูกในกระถางไม้ หรือให้เกาะตอไม้ก็ได้ 

ชื่อพื้นเมือง : กระแตไต่ไม้ (ภาคกลาง), กระปรอก (จันทบุรี), กระปรอกว่าว (ประจวบคีรีขันธ์, ปราจีนบุรี), กูดขาฮอก เช้าวะนะ พุดองแคะ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน), เดาน์กาโละ (มลายู-ปัตตานี), ใบหูช้าง สไบนาง (กาญจนบุรี), สะโมง (ส่วย-สุรินทร์), หัวว่าว (ประจวบคีรีขันธ์)

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Drynaria quercifolia (L.) J. Sm.

ชื่อวงศ์ : POLYPODIACEAE
ประโยชน์ : ใช้เป็นสมุนไพรบดพอกแก้บวม นิยมปลูกเป็นไม้ประดับ

ใครที่เดินป่า อาจเจออยู่บ่อยๆ จำเป็นอย่างไรสามารถ ใช้หัวทุบพอกแก้บวม จากการโดนความร้อนได้ครับ

วันพุธที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2554

แดนฉิมพลีที่ภูเมี่ยง ตอน๓ ความประทับใจ

วันนี้เราเริ่มออกจากแหล่งน้ำแล้ว...
ลืมบอกไปว่าที่พักเมื่อคืนคือจุดที่ใกล้แหล่งน้ำที่สุด ของการเดินช่วงแรง...จากนี้จนเลยยอดภูเมี่ยงไป เราจะไมเจอแหล่งนี้อีกเลย จะเจออีกที ตอนขาลง ในช่วงบ่ายๆ ของวันนี้
สำหรับคนที่ต้องการจะขึ้นไปนอน บริเวณยอดภูเมี่ยง(แดนฉิมพลี) ลูกหาต้องลงไปตามร่องเขาเพื่อ รองน้ำจากแหล่างน้ำซับที่อยู่ต่ำลงไปจากยอดภูเมี่ยงพอสมควร
เพียงแค่เริ่มเดินทาง เราก็แยกกำลังออกเป็น 2 กลุ่ม ผมอยู่ในกลุ่มแรง คอยตามดูแลสาวๆ

พงษ์ วัต อยู่ชุดหลังคอยคุมบรรดาช่างภาพประจำทริปของเราให้รักษาเวลา
ตัดขึ้นเนินปราบเซียน ช่วงสั้น ๆ เพียงแค่ 1500 เมตร ที่ชันยิ่งกว่าที่ผ่านมา

เมื่อวาน..ทำเอาหลายๆคน เดินได้ 4 ก้าวหยุด 5 ก้าวพัก แม้จะเชื่องช้าไปบ้าง..แต่ว่าทุกคนก็ยังคงทำเวลากันไปด้วยดี พอพ้น เนิน 5 มาได้ ในช่วงเนินที่ 6 เราก็เข้าสู่การเดินไปตามสันเขา มีลมโชย เย็นๆ มาเป็นระยะ ในระหว่างเดินผ่านเนินที่ 7 เหิรเวหา กลับมาเจอทางชันอีกช่าง แต่ พอขึ้นมาถึงข้างบนได้ก็สบายละ.. พักทานข้าวกันที่เนินที่ 8 รอแล้ว รอเล่า กลุ่มหลังก็ยังไม่ตามมาซะที ก็เลย เดินล่วงหน้า เก็บ 4 ผาที่เหลือก่อนละ
ผาที่ 1 ผาเริงรมย์ อยากให้ชม tresenter ทั้งสองของเรานะครับว่าเริงรมย์ ขนาดไหน... ตั้งแต่ผาเริงรมไป เราจะได้เจอ ดอกลิ่นลี่ป่าไปเป็นระยะๆ ตลอดทาง จนถึงแดนฉิมพลี เป็นบริเวณที่ มีดอกลิ่นลี่ให้ชมตลอดทาง ระหว่างนั้น
ผาที่ 2 ผาแดง จุดเด่นบริเวณนี้คือ หินมีสีแดงเข้ม จัดจ้านดีตัดกับไอหมอกที่ลอยมาปะทะเป็นอย่างยิ่ง
แล้วก็ถึงเวลาแนะนำผาที่ 3 ผาชมหมอก..จุดนี้เป็นจุดที่สวยมาก...เหมาะแก่การนั่งพักเหนื่อยชมสายหมอก และทิวทัศย์เป็นอย่งยิ่ง
และสุดยอด ก่อนถึงยอดสุด..ผาที่ 4 ผาวัดใจ..
มีแต่เพื่อนๆ ในทริปโวย...จะมาวัดอะไรกันตอนนี้..
เพราะที่ผ่านมา ยังไงซะข้างหน้าเราก็จะผ่านไปให้ได้ แล้วมันก็ไม่เกินความสามารถอะไร สุดท้าย ยอดภูเมียงก็เพียงให้เราพิชิต..
พลาดไม่ได้กับบรรยากาศการถ่ายรูปคู่กับป้าย "ผู้พิชิตยอดภูเมียง".. เพราะเราตั้งใจไว้แล้วว่าครั้งเดียวในชีวิตที่ มาพิชิตยอดภูเมี่ยง..เมื่อภาพที่ได้เพียงพอ..ไปต่อกันที่แดนฉิมพลี
ณ จุดที่พักนี่เอง เรานั่งรอสมาชิก ร่วมทริป ชุดหลัง ร่วม 2 ชั่วโมง
นั่งรอตั้งแค่ บ่ายโมงนิดๆ กว่าเพื่อนๆ จะมาถึงกันก็ เกือบบ่าย 3 แล้ว
แย่ละ..ทางเดินจากนี้ อีกไกล มาก กว่าจะถึงที่พักของเรา ที่น้ำตก ...จะไปถึงทันไหมเนี้ยะ...
เมื่อเราเจอครบทีม ถ่ายรูปร่วมกัน ... ก็เริ่มกำหนดแผนการเดินทางกันทันทีแผนใหม่ตอนนี้กำหนดว่า
พงษ์ จะคอยดูแลชุดหลัง
หวาน วัต คุมสาวๆ ชุดหน้า...
ผมคอยประกบดูแลพี่เจี๊ยบเป็นพิเศษ..
ที่ต้องแบ่งขุมกำลังเช่นนี้เพราะทางเดินต่อจากนี้ อีกไกลมาก และเราต้องเร่งทำเวลากันแล้ว
ซึ่งแต่แต่ละกลุ่มก็ เดินไปด้วยกัน แต่แยกหน้าที่อิสระต่อกันเพื่อให้ถึงเป้าหมาย
ผมสังเกตุความผิดปกติหลายอย่าง ที่บอกให้ทราบว่าพี่เจี๊ยบ ไม่ชำนาญในการเดินป่า...จนทำให้อดไม่ได้ที่จะต้องแนะนำในการจัดและรัดเป้ให้กระชำ การเลือกตำแหน่งวางเท้าในการเดินทางชัน แต่กระนั้น พี่เจี๊ยบก็ยังตกในการเดินได่ต้นไม้ช่วงหนึ่ง ทำให้สุดท้ายผมต้องตัดสินใจ ดึงเชือกออกจ้าเป้เพื่อให้พี่เจี๊ยบใช้ดึงรั้งในการลงทางชันที่ดงกล้วย เพระ กลุ่มหน้าได้เดินและลื่นจนแม้แต่ผมเองยังหาจุดวางเท้าลำบาก
ซึ่งก็ทุรรักทุเล พอสมควรแต่เราก็ผ่านไปได้
ในช่วงของการเดินตามสารธารในป่า พี่เจี๊ยบเริ่มเดินได้ดีขึ้น จนกระทั่งตามทันสาวๆ ที่จุดพักตอนหนึ่งริมน้ำตกในยามใกล้พบลค่ำเต็มที..
ณ จุดนี้.เรารื้อเสบียงออกมาแจกจ่ายกันกิน...และเปลี่ยนแผนใหม่
โดยครั้งนี้เราแยกเป็นสองกลุ่มผมรีบไปกับชุดหน้า
พงษ วัต อยู่กับชุดหลัง เพราะทั้งสองมีทักษะพอจะดูแลเพื่อนๆ ได้...และมีโอกาสที่ต้องเดิน night trail กันแน่ แต่นุ๊กไม่เคยแม้จะเดินป่ามาก่อน มีพี่ลูกหาบดูแลเป็นพิเศษ ด้วยความพยายามในการทำเวลา เราถึงจุดวางแค้มป์ในช่วงเวลาเข้าด้ายเข้าเข็ม และเร่งรีบดำเนินการจัดเตรียมที่หลับที่นอน..และหุงหาอาหาร ไม่นานนัก กลุ่มหลังก็ค่อยๆ ทยอยกันตามมา..ด้วยการใช้แสดงไฟฉายเป็นเครื่องนำทาง...
ตอนดึกของคืนนั้น ..ฝนแทลงมาทำให้บางคนได้นอนเตียงน้ำ..หรือไม่ก็ย้ายตัวมาเป็นปลาทู..
เข่งปลาทูซึ่งอยู่บนหัวเต้นท์ที่ผมนอน บางขณะก็มีชิ้นส่วนหนักๆ ของใครบางคนที่..ไหลมาตามพื้นเอียงผมต้องดันออกเป็นระยะๆ
แล้วเช้าวันใหม่ก็คืบคลานเข้ามา..จากการสำรวจความเสียหาย ปรากฏว่า ปลาทูท่านใดไม่ทราบ ทับเสาเต็นท์ผมจน แตกไป 1 ท่อน (คราวหน้าไม่มีเต้นท์ใช้แล้วสิ ) แต่ไว้ค่อยแก้ปัญหากัน.. วันนี้เราต้องเดินอีกไกลกว่าจะออกไปพ้นเขตภูเขา
พอเริ่มออกเดินทางก็เจออุบัติเหตุเล็กน้อย คือชุดหน้าเดินไปกระทบเข้ากับรังแตน โชคยังดีที่คนที่เดินชนคืนตั๊มซึ่งใส่เสื้อแขนยาว คลุมฮูตเสื้อแจ๊กเก็ต ทำให้โดนไปไม่มากนัก แต่ก็กระทบถึงเพื่อนๆ ที่ยังไม่ได้ผ่านจุดนั้นต้องตัดทางใหม่ ซึ่งต้องวกขึ้นสุง ปีนทางชัน เพื่อเลี่ยงเตนที่แตกรัง เราพักทานอาหารเที่ยงที่จุดหนึ่ง และตัดออกสู่ทุ่งโล่งและผ่านนาขั้นบันไดและไร่ของชาวบ้านเพื่อออกสู่ถน
กว่าจะ..อาบน้ำชำระร่างกาย และเล่นน้ำเพื่อพักผ่อน..เราออกจาก ที่ทำการฯ หน่วยคลองตรอนก็เย็นมากแล้ว
แต่การเดินทางของเรา ยังอีกไกล ระหว่างทางกลับกรุงเทพ ยังมีอะไรให้จดจำ อีกมาก ขอฝากให้ไปติดตามดูภาพกันในบอร์ดนะครับ http://www.jaikonjaunt.com/board/index.php?topic=153






แดนฉิมพลีที่ภูเมี่ยง ตอน๒



ระหว่างทาง และจ่ายตลาด ทานมื้อเช้ากันที่น้ำปาด หลังจากนั้นก็ เดินทางไปหน่วยฯ. คลองตรอน เปลี่ยนชุด จัดกระเป๋าเป้ ... จุดนี้แหละที่วัตทำนุชหวั่นไหว.. แล้วก็ไม่มีใครอาสารับผิดชอบชีวิต(คิดถูกหรือคิดผิด ที่ตัดสินใจมา เดินทางล่วงหน้า 1 วัน เพาะเพื่อนดันบอกวันผิด อิ้ว...)ว่าแต่เห็นเป้วัตแล้ว ยอมเลย

ผมรองท้องด้วย ทุเรียนอร่อยๆ ที่ซื้อมาจากตลาด ขณะที่เพื่อนทานข้าวเหนียวไก่ย่างและแบ่งห่อสำหรับมื้อเที่ยง
กว่าทุกอย่างจะเรียบร้อย พร้อมออกเดินทาง ก็ 11 โมงแล้ว..
เอ้าเดินทำเวลาเข้าเด่วจะมืด ช่วงแรกเดินไปตาม ถนนลูกลังที่ตัดขึนไปเพื่อชมน้ำตก...
จุดแรกที่ นับเนินคือ จุดที่เราแยกยากน้ำตกนั่นแหละ ..แหม ให้ซ้อมเดินซะไกลเชียว..
ประเดิมเริ่มต้นที่เนินแรกกันด้วย สายฝนที่หนาเม็ดขึ้นทุกที...ณ.จุดพักก่อนเริ่มขึ้นเนินแรดผมดอดเสื้อออกมาบิดน้ำประชดซะเลย... เสื้อจะได้ไม่เปียกโชกนัก
แล้วก็ได้เวลาเดินฝ่าสายฝนกันต่อ..ขึ้นเนินชัน ช่วงยาวเล่นเอาหลายคนหยุดหอบเป็นพักๆ

แล้วจุดที่เป็น จุดชี้ชะตา ของเราก็มาถึง...บันใด
"เฮ้ย เหนื่อย นี่ต้องเจอบันใดกันตั้งแต่ต้นเลยเหรอเนี้ยะ
น้ำตกสวยๆ มีให้ดูตอลดทางลื่นบ้าง ชันบ้าง ตามทางที่ต้องผ่าน

แล้วค่ำคืนของวันแรกนั้น เราก็พักกันแค่เนิน 5 เพราะว่าถ้าจะเดินให้ขึ้นถึงยอดก็ค่ำแน่ๆ
สอบถามมข้อมูลจากพี่แมว Staff TKT ทีเชียวชาญเรื่องการเดินป่าและโรยตัวบอกว่า"
ตอนนี้ก็สี่โมงกว่ ถ้าทำเวลาเต็มที่เห็นจะถึงที่หมายใกล้ๆ สองทุ่ม" หันซ้ายหันขวาดูสมาชิกแต่ละคน
ขวัญท่าทางจะยังไหวอยู่
แบ๊ส..ก็ท่าจะไปได้แม้จะลื่นบ้าง
ตั้ม..ลื่มมาหลายรอบแล้วนะ ท่าทางจะไม่เหมาะกับ Nighttrail
นุ๊ก..เห็นยิ้มแล้ว รู้เลยว่าใจสู้...แต่ท่าจะไม่เคยกับการเดินป่ามาก่อน กลางคืนคงไม่ต้องพูดถึง
หวาน..คนนี้ยังพอเบาใจได้..ผ่านอะไรกันมาเยอะ น่าจะเอาตัวรอดได้ แม่จะช่วยใครไม่ไหวก็ตามที
....
ท่าจะไม่ไหวมั้ง การเดินทางกลางคืน เลาะตามสันเขา หน้าผาที่ชัน+ลื่น ไม่อยากฝึนสมาชิก .
ประเมินโดยรวมแล้ว ไม่เสี่ยงดีกว่า งั้นคืนนี้พักกันที่นี่แหละ เอามันใกล้ๆ กรุ๊บพี่แมว..อุ่นใจดี

ตัดสินใจได้ก็จัดเตรียมสถานที่...พอพี่ลูกหาบมาถึง สอบถามชุดหลัง ทราบว่ายังอีกไกล ท่าทางบางคนจะไม่ไหวด้วย
งั้นฝากหน้าที่เรื่องหาฟืนก่อไฟให้พี่ลูกหาบช่วยจัดการให้ ที่เหลือ จัดพื้นที่กางเต้นท์กันเลย เด๋วลงไปดูชุดหลังหน่อยเผื่อจะช่วยอะไรได้..

หลังจากวิ่งลงมาถึงเนิน 4 ยังไม่มีวี่แววใครเลย เฮ้ย เย็นแล้วนะ ยิ่งเป็นห่วงมากกว่าเดิมเพราะในป่ามืดเร็ว คราวนี้วิ่งลงเลย...ไปเจอพงษ์ สอบถามได้ความว่า" ชุดหลัง เดินกันไหว แต่พี่เจี๊ยบล้มไปสองรอบ ที่ช้าเพราะแวะถ่ายรูปเล่นน้ำ"
ผมยังถามย้ำว่าต้องลงไปช่วยไหม..พงษ์บอกไม่ต้อง งั้นก็ค่อยๆ เดินมาพร้อมกับพงษ์ ถึงที่พัก กองไฟท่ามกลางสายฝน ถูกพี่ลูกหาบก่อขึ้นเรียบร้อยแล้ว...เราใช้กองไฟหุงข้าวอย่างเดียว เพราะ ความที่ฝนตกตลอดเส้นทางทำให้ฟืนเปียก ก่อไฟได้ยาก
กับข้าวจึงใช้เตาแก๊สในการปรุง
โดย มีพี่เจ หวาน นุ๊ก ขวัญ ตั้ม ช่วยกันคนละไม้ละมือ
ทำให้มื้อค่ำอิ่มหนำสำราญ และเกลี้ยงฉาดทุกหม้อ...
มือเช้าก็ได้พ่อครัว แม่ครัวชุดเดิมประเดิมงาน
แถมด้วยข้าวห่อใบไม้ไปกินระหว่างทาง

วันจันทร์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2554

แดนฉิมพลีที่ภูเมี่ยง



แดนฉิมพลีที่ภูเมี่ยง
ทริปเฮฮา สารพัน เพื่อนกันเอามันส์ไว้ก่อน...
หารเฉลี่ยค่าทริป แต่แพงลิบค่าเครื่องดื่ม...

ไม่มีอะไรมาก เป็นทริปที่ใครๆ ก็อยากไป ยกเว้น "ตั๊ก พิโลก" ที่บอกชัดเจนว่า "ขอรออยู่ตืนภูนะเพื่อน"

"๑๐ ภูกระดึง ไม่เท่า ๑ ภูเมี่ยง" เสียงของวัต บอกมามา ขณะที่ จัดเสื้อภาพเตรียมขึ้นภู ทำเอานุ๊กหน้าสลด
นุ๊กบอกว่า"เพื่อนชวนไป ภูกระดึง นุ๊กไม่กล้าไปกลัวเดินไม่ไหว แต่ขวัญชวนมาเดินภูเมี่ยง...นุ๊กมาเพราะไม่รู้ว่าภูเมี่ยงเป็นอย่างไร"
น้องใหม่เปิดทริปเดินป่าครั้งแรกที่ภูเมี่ยง ภูที่หลายคนเปลี่ยนคำเรียกเป็น ภูเดี้ยง แล้วเพื่อนจะเป็นพี่เลี้ยงได้ตลอดทริปไหม

ขบวนบันเทิงในทริปนี้ คือ 107 โบกี้ 8 เส้นทาง กรุงเทพ-เด่นชัย กำหนดการ รถออกสองทุ่มสิบ นาที สมาชิกที่จะไปด้วย
สถานีหัวลำโพง พงกับวัติ มัวแต่ทำไรกันอยู่ไม่รู้ รถไฟถึงออก เกือบสามทุ่ม
สถานีบางซื่อ ตั้มกับเพื่อนและกิต
สถานีดอนเมือง ตามกำหนดการ นู๋ขวัญ นุ๊ก ตาเจ หวาน ไท พี่เป้ แต่ เฮ้... ขณะนี้ สองทุ่มครึ่ง เวลานัดหมาย
** "ไทอยู่ไหนครับ ผมถึงสถานีรถไฟดอนเมืองแล้วนะครับ.."เสียงจากลำโพงโทรศัพท์ของผมดังขึ้นมา ขณะกำลังยืนดูเม็ดฝนอยู่บนสะพานลอย
"ผมอยู่ สน.ดอน อีกป้ายก็จะถึงครับ ตอนนี้ติดฝนอยู่บนสะพานลอย กำลังพยายามหาทางลัดไปครับ"กรอกเสียงแข่งกับลมฝน ผ่านไมค์โทรศัพท์ เพื่อบอกความคืบหน้า หลังจากนั้นก็ ฝ่าสายฝน เลาะขอบข้างร้านค้าริมทางรถไฟ จนถึงสถานี ว่าไปก็พอดีงสถานี ก็เปียกโชก...
ลงสะพานลอย..เห็นผู้ชายหน้าตาดีคนหนึ่งยืนอยู่ริมทาง ข้างๆ มีเป้ใบใหญ่เหมือนเตรียมออกทริปที่ไหน ผมจึงทักไปว่าใช่พี่เป้ไหม..."ไม่ใช่ครับ คุณหาใครเหรอครับ" "ขอโทษครับ นึกว่าเพื่อนที่จะออกทริปเดินป่าด้วยกัน" เห็นว่าหน้าตาดีดี มีบุคลิก ที่ไหนได้ใครก็ไม่รู้ ก็ไม่เป็นไรครับ ขอโทษกันไป แล้วก็โทรถามดีกว่าว่าพี่เป้อยู่ไหน..
สรุปพี่เป้รออยู่ แถว ๆ หน้าห้องน้ำ อย่างนั้นเดี๋ยวผมไปหา คราวนี้เจอละ ผู้ชาย สูง ผิวขาว ใส่แว่น ตรงกับที่พงษ์บอกมาทุกประการ (ก็ตรงกับบุคลิกคนที่ทักก่อนหน้านั้นด้วยแหละ) "พี่เป้ใช่ไหมครับ" ผมรีบทักไปก่อนจะถึงตัว.."ใช่ครับ" โล่งครับเจอกันแล้ว แล้วคนอื่นๆ ละ ยังไม่มีใครมาเลย หวานกำลังรอฝนซาหน่อย ตอนนนี้ยังไม่ออกจากบ้าน ส่วนขวัญรอเพื่อนอยู่...
คุยทำความรู้จักเบื้องต้น ได้ความว่า พี่เป้ใบใหญ่ ชื่อเล่นว่าพี่หนึ่ง แต่ตลอดทริปเราก็เรียกสลับกันไปทั้งสองชื่อ ซึ่งก็เป็นปกติของการออกทริปกับเพื่อนใหม่ใน TKT ซะแล้วที่นิยมเรียกชื่อ login กันมากว่า รอหวานมาอีกคน ก็หาอะไรทานรองท้อง เพราะรถไปเพิ่งจะออกจากหัวลำโพงเอง...กระทั่งรถไฟมา ขวัญกับเพื่อนก็ยังมาไม่ถึงเมื่อเราขึ้นรถไฟ ได้เจอกับพงษ์วัติและเพื่อนๆ ที่ขึ้นมาจากสถานีก่อนหน้าครบแล้ว ก็ได้เวลาสอบถามหาสมาชิกที่จะขึ้นสถานีดอนเมืองแล้ว พงษ์โทรไปถามขวัญ ได้ความว่า เห็นรถขบวนนั้นออกจากสถานีไป...โถ มาถึงสถานีแล้วก็ไม่รีบบอกันซะก่อน... ส่วนพี่เจ วัติบอกว่า เจ้าตัวยังมาไม่ถึง... เอาแล้วไง ทริปนี้ สมาชิกสามราย ตกรถไฟ..
ระหว่างนั่งรถไฟ เราไม่มีอะไรสามารถทำได้ดีไปกว่าหาเรื่องคุยคั่นเวลา และเร่งเพื่อน ให้รีบมาดักสถานีในสถานีหนึ่งข้างหน้า ให้ทัน...นั่งคุยสังสรร กันไป เบียร์อุ่นๆ น้ำเข็งก็ไม่มี จิบกันไปเรื่อยๆ คนนั้นที คนนี้อึก ที่ไหนได้ หายไปครึ่งถาดแล้ว... พงษ์ชักทนไม่ไหว"วัติไปซื้อ น้ำแข็งมาถุงสิ" วัติหายไปพักใหญ่ เดินเซตามแรงกระชากของรถไปกลับมา บอกว่า เขาไม่ขาย "ขายสิ.. ทำไมจะไม่ขาย เด๋วดู "พงษ์ออกอาการขัดใจ เพราะเบียร์ไม่เย็น เดินไปตู้เสบียง สั่งซื้อยำแหนม มาจานหนึ่งแล้วหิ้วน้ำแข็งกลับมาสองถุง... โอ้!!! เยี่ยมมาก เราได้จิบเบียร์ใส่น้ำแข็งกันแล้ว ส่วนเรื่องที่ว่าเบียร์จะเย็นนั้นเหรอ มันเย็นไม่ทันหรอกครับ แต่ดีกว่า ที่ไม่มีน้ำแข็งละ สักพักพงษ์บอกให้วัติไปรับยำแหนมที่สั่งไว้ มากินเป็นกับแกล้มกันหน่อย
แล้วเบียร์อีกครึ่งถาดก็หมดไปอย่างว่องไว.. ดูเวลาที่ไหนได้ ตี 2 แล้ว เราคุยกันเพลินไปรึเปล่า แยกย้ายพักผ่อนดีกว่า พงษ์โชว์ทักษะ ไปเวนคืนที่นั่งที่เราจอง มานอนได้อีกหนึ่งที่...

สะดุ้งตื่นขึ้นมาอีกที..เกือบเช้า เฮ้ยนี่เราเลยป้ายหรือเปล่า .. ด้วยความกังวง ทุกคนเลยตื่นขึ้นมาช่วยดู สรุปเรายังไม่ถุงป้าย แต่ใกล้ถึงละ อ้าวแล้วทำไมต้องตะลึงกันขนาดนั้นด้วยละ ..ก็...เวลามันช้ากว่ากำหนดการณ์ ร่วมชั่วโมงแล้วครับ ก็ต้องสะดุ้งกันบ้าง
ถึงที่หมาย ถ่ายรูปเล่นๆ กันนิดหน่อย
พบตาเจ และสองสาว กับพี่เจ้าหน้าที่ที่มารอรับ...จัดของเสร็จเรียบร้อยขึ้นรถไปหน่วยกันเลย ดูๆ ไปก็แปลกๆ นะ เป้ ยัดใส่หลังแคปรถพี่เจ แต่คนมาเบียดกันอยู่ท้ายรถเจ้าหน้าที่ ที่ไม่มีหลังคา มีแต่พี่เป้ กับหวาน ที่ไปนั่งเป็นเพื่อนเจ้าหน้าที่ พอแวะเข้าห้องน้ำระหว่างทาง เราก็..กระโดดไปนั่งหน้า รักษาความสมดุลซะหน่อย..